ทิก้าฉะม็อบทำประเทศสูญรายได้ ตลาดไมซ์ดาหน้ายกเลิกกำหนดการ ประกาศกลยุทธ์ปี 49 จับมือ สสปน. ออกบิดงานต่างประเทศ เข้ามาจัดในประเทศไทย อย่างน้อย 8 งาน
นายโอภาส เนตรอำไพ รองประธานสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ(ทิก้า) เปิดเผยภายหลังการประชุมแผนงานในปี 2549 ว่าสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ ยอมรับว่ามีผลกระทบต่อตลาดไมซ์ เป็นอย่างมาก ยิ่งการมีการเคลื่อนย้ายของกลุ่มผู้ชุมนุม เข้ามายังย่านศูนย์การค้ากลางเมือง ยิ่งจะทำให้กระทบกับโรงแรมที่อยู่บริเวณใกล้เคียงด้วย ทั้งนี้เพราะย่านศูนย์การค้าที่กลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักอยู่นั่นเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักธุรกิจ นิยมเดินทางเข้าไปชอปปิ้ง ดังนั้นเมื่อมีการชุมนุม เชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากเดินทางเข้าไป อาจเป็นเพราะเกรงเรื่องความไปปลอดภัย หรือไม่ก็อาจไม่สะดวกในการเดินทาง ซึ่ง สมาคม อยู่ระหว่างการรอดูสถานการณ์ความคืบหน้า เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดทิศทางและท่าทีต่อไป แต่โดยส่วนตัวมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่ยุติลงง่ายๆ และน่าจะอยู่ในภาวะอึมครึมเช่นนี้ไปอีกสักระยะเวลาหนึ่ง
ทางด้านนายสุเมธ สุทัศน์ ณ อยุธยา เลขาธิการสมาคมฯ กล่าวว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศไทยขณะนี้ กลุ่มตลาดไมซ์ ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่อ่อนไหวที่สุด เพราะเขาต้องเลือกการเดินทางไปประเทศที่รู้สึกปลอดภัย และมีความวุ่นวายน้อยที่สุด ดังนั้นจึงไม่ต้องการเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยง เพราะการประชุม สัมมนา หรือการท่องเที่ยวแบบให้รางวัล บรรยากาศและสภาพแวดล้อม มีความสำคัญต่อการตัดสินใจมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกลุ่มการประชุม จากประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง ล่าสุดมีหลายกลุ่มได้ย้ายกำหนดการไปประชุมประเทศอื่นๆแล้ว ส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปจำนวนมาก ในส่วนของแผนการตลาด ปีนี้ ทิก้า จะใช้กลยุทธเชิงรุกมากขึ้น พร้อมเตรียมจัดโรดโชว์ และ เข้าร่วมงานเทรดโชว์ขนาดใหญ่ เพื่อเข้าไปประมูลงานให้เข้ามาจัดที่ประเทศไทย โดยจะจัดไม่ต่ำกว่า 8 งาน เช่น งานขายสินค้าด้านประชุมและสัมมนาในประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เยอรมัน สหรัฐ นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส สเปน เป็นต้น
โดยกลยุทธิ์การทำตลาดนั้นทิก้าจะผนึกร่วมไปกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ สสปน. ในการดึงงานประชุมเข้าไทย เนื่องจากทิก้าเองมีงบไม่มากนักโดยมีงบในแต่ละปีราว 5 ล้านบาท ส่วนตัวเลขกลุ่มไมซ์ที่เข้าไทยในปี 2548 ที่ผ่านมา มีจำนวน 5 แสนคน เพิ่มจากปี 2547 ราว 20% ขณะที่ปีนี้มีการประเมินว่าอาจถึง 7 แสนคน อย่างไรก็ตามปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นอาจกระทบกับเป้าหมายนี้
นายโอภาส เนตรอำไพ รองประธานสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ(ทิก้า) เปิดเผยภายหลังการประชุมแผนงานในปี 2549 ว่าสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ ยอมรับว่ามีผลกระทบต่อตลาดไมซ์ เป็นอย่างมาก ยิ่งการมีการเคลื่อนย้ายของกลุ่มผู้ชุมนุม เข้ามายังย่านศูนย์การค้ากลางเมือง ยิ่งจะทำให้กระทบกับโรงแรมที่อยู่บริเวณใกล้เคียงด้วย ทั้งนี้เพราะย่านศูนย์การค้าที่กลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักอยู่นั่นเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักธุรกิจ นิยมเดินทางเข้าไปชอปปิ้ง ดังนั้นเมื่อมีการชุมนุม เชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากเดินทางเข้าไป อาจเป็นเพราะเกรงเรื่องความไปปลอดภัย หรือไม่ก็อาจไม่สะดวกในการเดินทาง ซึ่ง สมาคม อยู่ระหว่างการรอดูสถานการณ์ความคืบหน้า เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดทิศทางและท่าทีต่อไป แต่โดยส่วนตัวมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่ยุติลงง่ายๆ และน่าจะอยู่ในภาวะอึมครึมเช่นนี้ไปอีกสักระยะเวลาหนึ่ง
ทางด้านนายสุเมธ สุทัศน์ ณ อยุธยา เลขาธิการสมาคมฯ กล่าวว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศไทยขณะนี้ กลุ่มตลาดไมซ์ ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่อ่อนไหวที่สุด เพราะเขาต้องเลือกการเดินทางไปประเทศที่รู้สึกปลอดภัย และมีความวุ่นวายน้อยที่สุด ดังนั้นจึงไม่ต้องการเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยง เพราะการประชุม สัมมนา หรือการท่องเที่ยวแบบให้รางวัล บรรยากาศและสภาพแวดล้อม มีความสำคัญต่อการตัดสินใจมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกลุ่มการประชุม จากประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง ล่าสุดมีหลายกลุ่มได้ย้ายกำหนดการไปประชุมประเทศอื่นๆแล้ว ส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปจำนวนมาก ในส่วนของแผนการตลาด ปีนี้ ทิก้า จะใช้กลยุทธเชิงรุกมากขึ้น พร้อมเตรียมจัดโรดโชว์ และ เข้าร่วมงานเทรดโชว์ขนาดใหญ่ เพื่อเข้าไปประมูลงานให้เข้ามาจัดที่ประเทศไทย โดยจะจัดไม่ต่ำกว่า 8 งาน เช่น งานขายสินค้าด้านประชุมและสัมมนาในประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เยอรมัน สหรัฐ นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส สเปน เป็นต้น
โดยกลยุทธิ์การทำตลาดนั้นทิก้าจะผนึกร่วมไปกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ สสปน. ในการดึงงานประชุมเข้าไทย เนื่องจากทิก้าเองมีงบไม่มากนักโดยมีงบในแต่ละปีราว 5 ล้านบาท ส่วนตัวเลขกลุ่มไมซ์ที่เข้าไทยในปี 2548 ที่ผ่านมา มีจำนวน 5 แสนคน เพิ่มจากปี 2547 ราว 20% ขณะที่ปีนี้มีการประเมินว่าอาจถึง 7 แสนคน อย่างไรก็ตามปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นอาจกระทบกับเป้าหมายนี้