โอเลย์ ลั่นกลองลงสมรภูมิมาส์กหน้าขาว ทุ่ม 40 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ใช้ในช่วงโอกาสสำคัญของชีวิต สร้างตลาดมาส์กหน้าขาวแมส สัดส่วนขยับเพิ่มเป็น10% ของตลาดรวม 6,000 ล้านบาท เจาะผู้หญิงในเมือง สิ้นปีรั้งบัลลังก์ผู้นำตลาด กวาดส่วนแบ่ง 45% ทิ้งห่างพอนดส์
นายธนายุส ลีรพันธ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตบำรุงผิวหน้าโอเลย์ เปิดเผยว่า สภาพตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวในช่วงปีที่ผ่านมานี้ ยังถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยมูลค่า 3,600 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตถึง 24% ทั้งนี้เป็นเพราะความต้องการของผู้หญิงไทยต้องการมีผิวขาว เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง และมีแนวโน้มว่าผู้หญิงที่ใส่ใจในเรื่องสวยความงามจะมีอายุที่น้อยลง โดยเริ่มต้นตั้งแต่ 15 ปีเป็นต้นไป
ล่าสุดบริษัทจึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์มาส์กหน้าขาว “โอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์ มาส์ก” ลงสู่ตลาดที่ยังเล็กมาก โดยมีสัดส่วนเพียง 4-5% จากมูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นเพราะเห็นเล็งช่องว่างทางการตลาด โดยพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาส์กบำรุงผิวหน้า อีกทั้งในตลาดยังมีผู้เล่นน้อยราย ประกอบด้วย การ์นิเย่ ลอรีอัล และนูโทรจีน่า อย่างไรก็ตามปีนี้คาดว่าหลังจากที่โอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์ มาส์ก เปิดตัวจะผลักดันให้ตลาดขยายตัวเป็น 2-3 เท่า โดยสัดส่วนตลาดขยายเพิ่มเป็น 10%
สำหรับแผนการตลาดโอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์ มาส์ก ทุ่ม 40 ล้านบาท เน้นการสร้างการรับรู้แบบรวดเร็วให้กับผู้บริโภค ภายใต้จุดขาย”วันสำคัญที่ต้องการให้ผิวหน้าดูดี” หรือใช้ในช่วงโอกาสสำคัญของชีวิตเป็นการแนะนำสินค้านำร่องก่อน เจาะกลุ่มเป้าหมายคนเมือง ผู้หญิงอายุ 15-30 ปี ที่ใส่ใจสุขภาพผิวพรรณและอยากมีสุขภาพผิวดี โดยบริษัทได้เตรียมจัดกิจกรรมอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น สื่อโฆษณา พร้อมกับการแจกสินค้าตัวอย่าง 2,000 ชุด ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้
“โอเลย์ ถือว่าเป็นแบรนด์แรกๆในตลาดแมส ที่ลงมาเล่นในตลาดผลิตภัณฑ์มาส์กบำรุงผิวหน้า ซึ่งราคาของเราแพงกว่าการ์นิเย่ แต่เมื่อเทียบกับลอรีอัล และนูโทรจีน่าถูกกว่า อย่างไรก็ตามคาดว่าภายใน 3-6 เดือนนี้ โอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์ มาส์ก จะขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดมาส์กหน้าในไทย เหมือนกันประเทศฮ่องกง จีน สิงคโปร์ภายหลังจากเปิดตัวสินค้าได้เพียง 3-6 เดือนก็ขึ้นเป็นผู้นำตลาด”
นายธนายุส กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทรุก2กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ โอเลย์ โททัล ไวท์ เพื่อเจาะตลาดต่างจังหวัด อายุ 12-20 ปี ภายใต้การใช้ ยุ้ย-จีรนันท์ มโนแจ่ม เป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวโอเลย์ โททัล เอ็กซ์ตร้า เพื่อเจาะคนผิวคล้ำในตลาดต่างจังหวัด ขณะที่โอเลย์ โททัล เอฟเฟค เจาะกลุ่มคนเมืองอายุ 25 ปีขึ้นไป ขณะที่โอเลย์ เรเดียนซ์ การทำตลาดไม่ค่อยเน้นมากนัก โดยโอเลย์ เรเดียนซ์เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้หญิงที่ต้องการความขาว แต่เป็นกลุ่มคนเมือง
สำหรับในปีที่ผ่านมารอบเดือนธันวาคม โอเลย์เป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ครองส่วนแบ่ง 35-36% จากตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้ามูลค่า 6,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมาในเชิงมูลค่าเติบโต 29% ในเชิงปริมาณ 23% โดยโอเลย์ทิ้งห่างจากคู่แข่งอันดับสองพอนดส์ถึง 9% ส่วนแบ่งโอเลย์มาจากผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาว 14% ส่วนผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย 18-19% จากมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย 2,400 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 60%
นายธนายุส ลีรพันธ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตบำรุงผิวหน้าโอเลย์ เปิดเผยว่า สภาพตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวในช่วงปีที่ผ่านมานี้ ยังถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยมูลค่า 3,600 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตถึง 24% ทั้งนี้เป็นเพราะความต้องการของผู้หญิงไทยต้องการมีผิวขาว เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง และมีแนวโน้มว่าผู้หญิงที่ใส่ใจในเรื่องสวยความงามจะมีอายุที่น้อยลง โดยเริ่มต้นตั้งแต่ 15 ปีเป็นต้นไป
ล่าสุดบริษัทจึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์มาส์กหน้าขาว “โอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์ มาส์ก” ลงสู่ตลาดที่ยังเล็กมาก โดยมีสัดส่วนเพียง 4-5% จากมูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นเพราะเห็นเล็งช่องว่างทางการตลาด โดยพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาส์กบำรุงผิวหน้า อีกทั้งในตลาดยังมีผู้เล่นน้อยราย ประกอบด้วย การ์นิเย่ ลอรีอัล และนูโทรจีน่า อย่างไรก็ตามปีนี้คาดว่าหลังจากที่โอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์ มาส์ก เปิดตัวจะผลักดันให้ตลาดขยายตัวเป็น 2-3 เท่า โดยสัดส่วนตลาดขยายเพิ่มเป็น 10%
สำหรับแผนการตลาดโอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์ มาส์ก ทุ่ม 40 ล้านบาท เน้นการสร้างการรับรู้แบบรวดเร็วให้กับผู้บริโภค ภายใต้จุดขาย”วันสำคัญที่ต้องการให้ผิวหน้าดูดี” หรือใช้ในช่วงโอกาสสำคัญของชีวิตเป็นการแนะนำสินค้านำร่องก่อน เจาะกลุ่มเป้าหมายคนเมือง ผู้หญิงอายุ 15-30 ปี ที่ใส่ใจสุขภาพผิวพรรณและอยากมีสุขภาพผิวดี โดยบริษัทได้เตรียมจัดกิจกรรมอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น สื่อโฆษณา พร้อมกับการแจกสินค้าตัวอย่าง 2,000 ชุด ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้
“โอเลย์ ถือว่าเป็นแบรนด์แรกๆในตลาดแมส ที่ลงมาเล่นในตลาดผลิตภัณฑ์มาส์กบำรุงผิวหน้า ซึ่งราคาของเราแพงกว่าการ์นิเย่ แต่เมื่อเทียบกับลอรีอัล และนูโทรจีน่าถูกกว่า อย่างไรก็ตามคาดว่าภายใน 3-6 เดือนนี้ โอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์ มาส์ก จะขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดมาส์กหน้าในไทย เหมือนกันประเทศฮ่องกง จีน สิงคโปร์ภายหลังจากเปิดตัวสินค้าได้เพียง 3-6 เดือนก็ขึ้นเป็นผู้นำตลาด”
นายธนายุส กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทรุก2กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ โอเลย์ โททัล ไวท์ เพื่อเจาะตลาดต่างจังหวัด อายุ 12-20 ปี ภายใต้การใช้ ยุ้ย-จีรนันท์ มโนแจ่ม เป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวโอเลย์ โททัล เอ็กซ์ตร้า เพื่อเจาะคนผิวคล้ำในตลาดต่างจังหวัด ขณะที่โอเลย์ โททัล เอฟเฟค เจาะกลุ่มคนเมืองอายุ 25 ปีขึ้นไป ขณะที่โอเลย์ เรเดียนซ์ การทำตลาดไม่ค่อยเน้นมากนัก โดยโอเลย์ เรเดียนซ์เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้หญิงที่ต้องการความขาว แต่เป็นกลุ่มคนเมือง
สำหรับในปีที่ผ่านมารอบเดือนธันวาคม โอเลย์เป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ครองส่วนแบ่ง 35-36% จากตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้ามูลค่า 6,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมาในเชิงมูลค่าเติบโต 29% ในเชิงปริมาณ 23% โดยโอเลย์ทิ้งห่างจากคู่แข่งอันดับสองพอนดส์ถึง 9% ส่วนแบ่งโอเลย์มาจากผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาว 14% ส่วนผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย 18-19% จากมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย 2,400 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 60%