"ไอดีเอส มาร์เก็ตติ้ง" เดินเครื่องลงทุนใน 3 ธุรกิจหลักเต็มสูบ ทั้งรับจ้างผลิต, โลจิสติกส์ และมาร์เก็ตติ้งหรือตัวแทนจำหน่าย เล็งทำตลาดสินค้าคอนซูเมอร์เพิ่มอีก 4 แบรนด์ พร้อมรุกทำตลาดนาฬิกาไทม์เม็กซ์ครั้งใหญ่ในรอบกว่า 10 ปี หวนใช้กลยุทธ์แบรนด์ แอมบาสเดอร์มาใช้อีกครั้ง ดึง"ป๋อ ณัฐวุฒฺ สกิดใจ" มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ หวังยอดขายรวมโต 30% พร้อมเผยปัจจัยลบที่เกิดขึ้นมองเป็นโอกาสทางธุรกิจมากกว่า
นายสุทธิ มโนกิจจรูญมั่น ผู้จัดการทั่วไปหน่วยสินค้าอุปโภคบริโภค บริษัทไอดีเอส มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร อาทิ การรับจ้างผลิต บริการขนส่ง และเป็นตัวแทนจำหน่ายหลายแบรนด์ เช่น นาฬิกา "ไทม์เม็กซ์" จากอเมริกา เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯจะขยายการลงทุนทุกๆปีใน 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าหรือโออีเอ็มให้กับบริษัทต่างๆ เช่น ผลิตสินค้าเพอร์ซันนัลแคร์ให้พี แอนด์ จี,ยูนิลีเวอร์ และล่าสุดเพิ่งลงทุนกับไฟเซอร์ผุดโรงงานใหม่ เป็นต้น
ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ หรือบริการจัดส่งสินค้าให้กับแบรนด์ดัง เช่น ไนกี้และสตาร์บัคส์ และธุรกิจมาร์เก็ตติ้ง โดยปีนี้บริษัทฯเตรียมขยายพื้นที่การให้บริการและทำระบบจัดส่งสินค้า และธุรกิจมาร์เก็ตติ้งหรือผู้แทนจำหน่ายสินค้ากว่า 8-9 แบรนด์ อาทิ นมแอ็บบอต และนาฬิกาไทม์เม็กซ์ เป็นต้น ปีนี้บริษัทฯจะมีลูกค้าเพิ่มในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภคอีก 4 แบรนด์
"เป้าหมายของบริษัทฯต้องการดำเนินธุรกิจหรือสร้างแวลู เชนจ์ให้แก่ลูกค้าแบบครบวงจร โดยบริษัทไอดีเอสถือเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทลี แอนด์ ฟง ของฮ่องกงที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2547 ซึ่งหลังจากเข้าตลาดฯพบว่ายอดขายและกำไรเพิ่มมากกว่า 30% ในทุกๆปี"
สำหรับยอดรายได้ปีนี้บริษัทฯคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 30% เนื่องจากเป็นเทรนด์ตลาดโลกที่หันมารับจ้างผลิตมากขึ้น และบริษัทฯก็มีความพร้อมเพื่อรองรับตรงนี้
ไทม์เม็กซ์รุกตลาดหนักสุดรอบ 10 ปี
นายสุทธิ กล่าวถึงนาฬิกาไทม์เม็กซ์ว่า ในปีนี้บริษัทฯเตรียมรุกทำตลาดนาฬิกาไทม์เม็กซ์มากที่สุดในรอบ 10 กว่าปี รวมถึงการปรับภาพลักษณ์ของนาฬิกาใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้มีการปรับทัพทีมผู้บริหารใหม่ ประกอบด้วยตนดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปหน่วยสินค้าอุปโภคบริโภค , นายบุระนนท์ นวะสุชาติ ผู้จัดการฝ่ายขาย และน.ส. คณิยา นันทมนตรี ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเรื่องการตลาดและแบรนด์ โดยทีมชุดใหม่เริ่มงานมาได้ 6 เดือนแล้ว
"ทิศทางของไทม์เม็กซ์ทั่วโลกจะเน้นการสร้างแบรนด์เป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจในไทย ดังนั้นทางบริษัทฯจึงได้นำกลยุทธ์แบรนด์ แอมบาสเดอร์กลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากที่เคยใช้นักแสดงชายอย่างจอห์นนี่ แอนโฟนี่ในการทำตลาดและสื่อสารไปยังผู้บริโภคในนาฬิกากลุ่มเอาท์ดอร์ ซึ่งผลตอบรับดีเกินคาดทำให้ไทม์เม็กซ์เป็นที่รู้จักและยอดขายเพิ่ม 50%"
ล่าสุดบริษัทฯได้เลือก "ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ" เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์คนล่าสุดในการทำตลาดสื่อสารไปยังผู้บริโภคถึงความสมาร์ท ทนสมัยและคล่องแคล่วที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนที่แตกต่างกัน พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวแคมเปญโฆษณา "Live Smart" ภายใต้งบกว่า 10 ล้านบาท
น.ส. คณิยา นันทมนตรี ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯต้องการสร้างยอดขายแบบก้าวกระโดด ดังนั้นกลยุทธ์ในการทำตลาดจึงแบ่งตามโปรดักส์ที่มี 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มคลาสสิก นาฬิกาที่เหมาะกับทุกสไตล์ , เอาท์ดอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการผจญภัย , สปอร์ต กลุ่มคนรักกีฬา และกลุ่มคิดส์ นาฬิกาสำหรับเด็ก โดยระดับราคาของนาฬิกาจะอยู่ที่ประมาณ 2,000- 10,000 บาท ปีนี้บริษัทฯเตรียมเปิดตัวนาฬิกาอีก 4-5 รุ่นในแต่ละกลุ่ม
กลุ่มเป้าหมายหลักของไทม์เม็กซ์จะมีตั้งแต่อายุ 5 ขวบ- 60 ปี แบ่งเป็นสัดส่วนลูกค้าผู้ชาย 60% และผู้หญิง 40% ปัจจุบันไทม์เม็กซ์มีฐานลูกค้า 1 ล้านราย โดยคิดเป็นลูกค้าที่แอคทีฟ 5 หมื่นราย ในปีนี้จะมีการทำระบบซีอาร์เอ็ม และบริการหลังการขายมากขึ้น
ด้านช่องทางการขายปัจจุบันมีเอาท์เล็ต 250 สาขา ปีนี้บริษัทฯจะขยายเพิ่มให้ครบ 300 สาขา รวมถึงการปรับชั้นวางในห้างและคีออส 5 แห่งใหม่ ภายใต้งบกว่า 20-30 ล้านบาท
สำหรับยอดรายได้ของไทม์เม็กซ์ปีนี้คาดว่าจะมียอดขายเพิ่ม 50% จากการรุกตลาดมากขึ้นและการเปิดตัวแคมเปญใหม่นี้ โดยปกติยอดขายของไทม์เม็กซ์จะโตปีละ 20-25% ทั้งนี้ใน 2 เดือนที่ผ่านมาพบว่ายอดขายไทม์เม็กซ์โตกว่า 50-60% หากเทียบกับเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ขณะที่ตลาดรวมของนาฬิกาในไทยมีมูลค่ากว่า 4,000-5,000 ล้านบาท ผู้นำตลาด ได้แก่ ไซโกและซิติเซน ส่วนตลาดเอาท์ดอร์ไทม์เม็กซ์เป็นผู้นำตลาด
นายสุทธิ กล่าวด้วยว่า ปัจจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้นมองว่าเป็นโอกาสมากกว่า ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะวางตำแหน่งบริษัทไว้ในระดับไหน และใช้กลยุทธ์อย่างไรในการดำเนินธุรกิจ ในส่วนของไทม์เม็กซ์เน้นใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากคู่แข่งและทำตลาดเชิงรุกก่อนรายอื่น ในส่วนของผู้ประกอบการหรือลูกค้าของบริษัทฯประสบปัญหาปัจจัยลบต่างๆก็จะหันมาจ้างผลิตมากขึ้น