สตาร์บัคส์รุกหนัก หวังเปิดเดือนละสาขาในปีนี้ หลังโหมหนักปีที่แล้วเปิดถึง 14 สาขา ชูคอนเซ็ป Fit for Community พร้อมดันม่วนใจ๋เบลนด์ส่งออกสิงคโปร์ ฮ่องกง
นายแอนดรูว์ เนธัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะขยายสาขาร้านสตาร์บัคส์อย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 1 สาขาต่อเดือน เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการที่มีมากกว่า 25% โดยเมื่อปีที่แล้วสตาร์บัคส์เปิดสาขามากถึง 14 สาขาในเวลาเพียงปีเดียว ล่าสุดเปิดสาขาใหม่ที่หัวหินในวันที่ 4 มีนาคมนี้
ทั้งนี้รูปแบบการเปิดสาขาใหม่นั้นจะใช้คอนเซ็ปท์ Fit for Community จับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามาเป็นแนวคิดหลักในการตกแต่งและการบริการ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละทำเล ปัจจุบันนี้สตาร์บัคส์มีสาขาที่เปิดบริการแล้วประมาณ 74 สาขา (รวมสาขาที่หัวหินด้วย) แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 59 สาขา และในต่างจังหวัดตามจังหวัดท่องเที่ยว 14 สาขา
“ที่ผ่านมาธุรกิจกาแฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนไทยมากขึ้น บริษัทฯได้เสาะหากาแฟคุณภาพเยี่ยมจากทั่วทุกมุมโลกตลอดเพื่อมาบริการ ขณะนี้กาแฟในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกมีมาตราฐานสูงมากขึ้น สตาร์บัคสเองมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเกษตรกรไทย ที่ปลูกกาแฟในภาคเหนือ ที่ผ่านมาก็มีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องนับเป็นการดีในปีนี้เรามีแผนผลักดันการส่งออก ม่วนใจ๋ เบลนด์ (เมล็ดกาแฟจากไทย )ไปประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และฮ่องกงซึ่งสาเหตุที่เลือกทั้งสองประเทศนี้เพราะเป็นตลาดกาแฟที่มีความน่าสนใจมาก”
ล่าสุดสตาร์บัคส์ได้ปรับเพกเกจจิ้งใหม่แยกเซ็กเมนต์ให้มีความชัดเจนภายใต้คอนเซ็ป “ภูมิศาสตร์ คือ รสชาติแห่งกาแฟ” ผ่านแถบสีที่แสดงอยู่บนถุงให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงรสชาติ ซึ่งจะบ่งบอกแหล่งเพาะปลูกกาแฟสำคัญจาก 3 ภูมิภาค คือละตินอเมริกา (แถบสีส้ม) แอฟริกา(แถบสีเหลือง) เอเชีย-แปซิฟิค (แถบสีแดง) และกาแฟที่ผสมจากหลายภูมิภาค (แถบสีเขียว)
การปรับเปลี่ยนรูปแบบแพกเกจจิ้งสินค้าใหม่ครั้งนี้ได้ทำการปรับราคาขายใหม่ด้วยประมาณ 4% เพราะต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น โดยถุงขนาด 250 กรัม ราคา 495-700 บาท (ขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ) โดยถุงกาแฟสตาร์บัคส์รูปแบบใหม่นี้ จะเริ่มวางจำหน่ายในร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขา ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมนี้
นายแอนดรูว์ เนธัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะขยายสาขาร้านสตาร์บัคส์อย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 1 สาขาต่อเดือน เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการที่มีมากกว่า 25% โดยเมื่อปีที่แล้วสตาร์บัคส์เปิดสาขามากถึง 14 สาขาในเวลาเพียงปีเดียว ล่าสุดเปิดสาขาใหม่ที่หัวหินในวันที่ 4 มีนาคมนี้
ทั้งนี้รูปแบบการเปิดสาขาใหม่นั้นจะใช้คอนเซ็ปท์ Fit for Community จับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามาเป็นแนวคิดหลักในการตกแต่งและการบริการ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละทำเล ปัจจุบันนี้สตาร์บัคส์มีสาขาที่เปิดบริการแล้วประมาณ 74 สาขา (รวมสาขาที่หัวหินด้วย) แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 59 สาขา และในต่างจังหวัดตามจังหวัดท่องเที่ยว 14 สาขา
“ที่ผ่านมาธุรกิจกาแฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนไทยมากขึ้น บริษัทฯได้เสาะหากาแฟคุณภาพเยี่ยมจากทั่วทุกมุมโลกตลอดเพื่อมาบริการ ขณะนี้กาแฟในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกมีมาตราฐานสูงมากขึ้น สตาร์บัคสเองมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเกษตรกรไทย ที่ปลูกกาแฟในภาคเหนือ ที่ผ่านมาก็มีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องนับเป็นการดีในปีนี้เรามีแผนผลักดันการส่งออก ม่วนใจ๋ เบลนด์ (เมล็ดกาแฟจากไทย )ไปประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และฮ่องกงซึ่งสาเหตุที่เลือกทั้งสองประเทศนี้เพราะเป็นตลาดกาแฟที่มีความน่าสนใจมาก”
ล่าสุดสตาร์บัคส์ได้ปรับเพกเกจจิ้งใหม่แยกเซ็กเมนต์ให้มีความชัดเจนภายใต้คอนเซ็ป “ภูมิศาสตร์ คือ รสชาติแห่งกาแฟ” ผ่านแถบสีที่แสดงอยู่บนถุงให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงรสชาติ ซึ่งจะบ่งบอกแหล่งเพาะปลูกกาแฟสำคัญจาก 3 ภูมิภาค คือละตินอเมริกา (แถบสีส้ม) แอฟริกา(แถบสีเหลือง) เอเชีย-แปซิฟิค (แถบสีแดง) และกาแฟที่ผสมจากหลายภูมิภาค (แถบสีเขียว)
การปรับเปลี่ยนรูปแบบแพกเกจจิ้งสินค้าใหม่ครั้งนี้ได้ทำการปรับราคาขายใหม่ด้วยประมาณ 4% เพราะต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น โดยถุงขนาด 250 กรัม ราคา 495-700 บาท (ขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ) โดยถุงกาแฟสตาร์บัคส์รูปแบบใหม่นี้ จะเริ่มวางจำหน่ายในร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขา ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมนี้