รมว.คลังยันความผันผวนทางการเมืองเป็นปัจจัยระยะสั้น ไม่จำเป็นต้องปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ เผยนักธุรกิจยังเชื่อมั่นพื้นฐานเศรษฐกิจ ในช่วงรักษาการคงไม่มีมาตรการใหม่นอกเหนือจากเดิมที่ประกาศไปแล้ว ขณะที่ “วีรพงษ์ รางมางกูร” คาดจีดีพีโตต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 5.5

นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรีนับว่าเป็นวิธีที่จะทำให้เรื่องต่างๆ จบลงและจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ และมั่นใจว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย ซึ่งหากชุมนุมโดยสงบ นักธุรกิจและนักลงทุนก็คงจะสบายใจที่การยุบสภาของรัฐบาลได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย โดยในช่วงระยะเวลาที่รักษาการอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเน้นการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ดีที่สุด และคงจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่นอกเหนือจากนโยบายที่มีอยู่แล้ว
ส่วนมาตรการจากการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจและเอกชนนั้น นายทนง กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี และถึงแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้เกิดความไม่แน่นอน แต่เชื่อว่าคงจะยังไม่ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 2549 อย่างแน่นอน เพราะปัญหาทางการเมืองเป็นเพียงสถานการณ์ในระยะสั้นๆ
นายวีรพงษ์ รางมางกูร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรีอาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงบ้าง เพราะนักลงทุนจะต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะออกมาในทิศทางใด เพราะทุกฝ่ายจะต้องรอประเมินสถานการณ์ และรอนโยบายใหม่ของรัฐบาลชุดใหม่ก่อน ส่วนในเรื่องของภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้นั้นยอมรับว่ามีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง โดยเชื่อว่าดัชนีคงจะไม่ปรับตัวสูงขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน และเชื่อว่าจะต้องปรับประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2549 ลงบ้าง จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ร้อยละ 5.5 แต่จะปรับลดลงเท่าใดนั้นยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะความไม่แน่นอนในด้านต่างๆ เป็นตัวที่ประเมินได้ยากมาก คงจะต้องรอดูเหตุการณ์ต่อไปก่อน
ด้านนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรอบนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในขณะนี้ว่าคงยังไม่ออกนโยบายทางเศรษฐกิจใดๆ ส่วนนโยบายที่ดำเนินการไปแล้วก็จะมีการเดินหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าประมาณ 1-2 เดือนข้างหน้า จะดำเนินการแล้วเสร็จอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม มองว่าประชาชนส่วนใหญ่เริ่มเข้าใจสถานการณ์และข้อมูลต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแล้ว ดังนั้น เชื่อว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2549 จะมีประชาชนไปใช้สิทธิเป็นจำนวนมาก เนื่องจากให้การยอมรับการตัดสินใจยุบสภาของนายกรัฐมนตรีแล้ว
นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรีนับว่าเป็นวิธีที่จะทำให้เรื่องต่างๆ จบลงและจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ และมั่นใจว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย ซึ่งหากชุมนุมโดยสงบ นักธุรกิจและนักลงทุนก็คงจะสบายใจที่การยุบสภาของรัฐบาลได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย โดยในช่วงระยะเวลาที่รักษาการอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเน้นการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ดีที่สุด และคงจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่นอกเหนือจากนโยบายที่มีอยู่แล้ว
ส่วนมาตรการจากการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจและเอกชนนั้น นายทนง กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี และถึงแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้เกิดความไม่แน่นอน แต่เชื่อว่าคงจะยังไม่ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 2549 อย่างแน่นอน เพราะปัญหาทางการเมืองเป็นเพียงสถานการณ์ในระยะสั้นๆ
นายวีรพงษ์ รางมางกูร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรีอาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงบ้าง เพราะนักลงทุนจะต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะออกมาในทิศทางใด เพราะทุกฝ่ายจะต้องรอประเมินสถานการณ์ และรอนโยบายใหม่ของรัฐบาลชุดใหม่ก่อน ส่วนในเรื่องของภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้นั้นยอมรับว่ามีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง โดยเชื่อว่าดัชนีคงจะไม่ปรับตัวสูงขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน และเชื่อว่าจะต้องปรับประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2549 ลงบ้าง จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ร้อยละ 5.5 แต่จะปรับลดลงเท่าใดนั้นยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะความไม่แน่นอนในด้านต่างๆ เป็นตัวที่ประเมินได้ยากมาก คงจะต้องรอดูเหตุการณ์ต่อไปก่อน
ด้านนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรอบนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในขณะนี้ว่าคงยังไม่ออกนโยบายทางเศรษฐกิจใดๆ ส่วนนโยบายที่ดำเนินการไปแล้วก็จะมีการเดินหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าประมาณ 1-2 เดือนข้างหน้า จะดำเนินการแล้วเสร็จอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม มองว่าประชาชนส่วนใหญ่เริ่มเข้าใจสถานการณ์และข้อมูลต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแล้ว ดังนั้น เชื่อว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2549 จะมีประชาชนไปใช้สิทธิเป็นจำนวนมาก เนื่องจากให้การยอมรับการตัดสินใจยุบสภาของนายกรัฐมนตรีแล้ว