“ตุนท์ มหาดำรงค์กุล” ชายหนุ่มหน้ามนคนนี้ถือเป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูล มหาดำรงค์กุล ตระกูลที่คลุกคลีกับธุรกิจการทำตลาดนาฬิกามาหลายสิบปี เขาเป็นลูกของนายภูริช และนางดารารัตน์ มหาดำรงกุล
ในวัยเพียง 24 ปี เขาก็ได้เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับธุรกิจของตระกูลเมื่อปีที่แล้วในบริษัท โอเรียนท์ ไทม์ จำกัด ที่ทำตลาดนาฬิกา โอเรียนท์ หลังจากร่ำเรียนจบปริญญาตรีที่ เมลเบิร์น ยูนิเวอร์ซิตี้ ทางด้านเกษตรศาสตร์ และที่ได้ทำงานหาประสบการณ์ข้างนอกมาระยะหนึ่งที่ บริษัท พิคเวิร์ทที่ออสเตรเลีย หรือแม้แต่เคยฝึกงานที่โครงการหลวง สวนจิตรลดา และเริ่มงานที่ บริษัท แปซิฟิค เฮลท์แคร์ ประเทศไทย จำกัด ในตำแหน่ง มาร์เกตติ้งเอ็กซ์เซ็คคิวทีฟ
ตุนท์เริ่มงานที่โอเรียนท์ในฝ่าย เซลล์แอนด์มาร์เกตติ้ง ซึ่งเขามองว่า จะยากก็ยาก จะง่ายก็ง่าย เพราะเวลาออกไปเยี่ยมเยียนร้านค้าต่างๆ นั้น สิ่งที่พบเจอก็คือ ผู้คนหรือคู่ค้าที่พบด้วยนั้นมักมีอายุที่เยอะกว่าเขารุ่นราวคราวพ่อทั้งนั้น
แต่ด้วยความที่เป็นคนติดดินอยู่แล้ว แม้แต่คณะที่เรียนยังเรียน เกษตรศาสตร์ ผนวกกับคำสั่งสอนที่ได้มาจากพ่อที่สอนเสมอว่า ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากๆ จึงทำให้เขาเข้าใจธรรมชาติอย่างดีว่า คนเราต้องอ่อนน้อมถ่อมตนไว้ “เวลาที่ผมไปเยี่ยมร้านค้า ผมต้องเคารพและรับฟังปัญหาความเห็นของคู่ค้าอย่างเดียว”
ขณะที่สิ่งที่ได้จากคุณปู่คือ นายดิลก นั้นตุนท์ยังจำได้อย่างดีว่าคุณปู่สอนว่า “จำเอาไว้นะ การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น ขึ้นอยู่กับตัวสินค้า 70% และขึ้นอยู่กับการทำตลาดอีก 30% ซึ่งนาฬิกาโอเรียนท์นั้นได้รับการยอมรับอย่างดีทั้งคุณภาพและชื่อเสียงที่ติดตลาดมานาน นั่นหมายความว่า นาฬิกาโอเรียนท์สอบผ่านแล้ว 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% ก็อยู่ที่ฝีมือของเขาและทีมงานในการทำตลาดนั่นเอง
สำหรับตัวของเขาเองนั้น ยึดหลักการทำงานที่ว่า คนเราทำอะไรจะต้องเป็นทีมเวิร์ก ทำคนเดียวไม่ได้
“สมัยนี้จะทำงานแบบข้ามาคนเดียวนั้นมันไม่ได้แล้ว ต้องทำงานเป็นทีม ผมเคยมีเจ้านายเป็นชาวต่างประเทศ เขาสอนผมว่า เขาต้องการนักฟุตบอล ไม่ต้องการนักเทนนิส ความหมายของเจ้านายเก่าก็คือว่า ต้องการการทำงานที่เป็นระบบเป็นทีม ไม่ใช่ต้องการทำงานแบบวันแมนโชว์ ซึ่งมันหมดยุคแล้ว”
ของสะสมอย่างหนึ่งที่ ตุนท์ ชอบเก็บสะสม คงเดาไม่ยากว่าคือ นาฬิกา เพราะด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับนาฬิกามาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เขาซึมซับเอามนต์เสน่ห์แห่งนาฬิกาที่หลากหลายเข้าไปไว้ในความรู้ทรงจำ โดยเฉพาะไฮไลต์นาฬิกาที่ตุนท์สะสมคือ โอเรียนท์รุ่นเก่าๆ
แต่ในอีกมุมหนึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่า คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฮโซอย่างเขาจะมีด้วย
“ผมเป็นศิษย์วัดมหาธาตุ คณะ 1 เมื่อตอนที่ผมเรียนจบจากเมืองนอก กลับมาประเทศไทย ผมก็บวชพระประมาณ 15 วัน และก่อนหน้านั้นผมเองก็ยังชอบนั่งวิปัสสนาด้วยเหมือนกัน คุณพ่อและคุณแม่ของผมชอบพาไปวัด เพราะจะได้ทำให้จิตใจสงบ”
ภาระหน้าที่ของเขาในวันนี้แม้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่ก็เป็นช่วงสำคัญของการสร้างประสบการณ์ สร้างฐานการตลาด ก่อนที่จะต้องบุกงานใหญ่ต่อไปให้กับธุรกิจนาฬิกาของครอบครัว