สศช. รับลูกนายกฯ เร่งศึกษาประเด็นค่าแรงขั้นต่ำภายใน 2 สัปดาห์ ระบุจะพิจารณาทั้งผลกระทบต่อลูกจ้าง นายจ้าง เงินเฟ้อ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงาน ยืนยันยังมีงานอีกมากในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ สศช. ศึกษาการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำจาก 184 บาท เป็น 200 บาทต่อวัน ว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่งการให้พิจารณาเพียงการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเท่านั้น แต่ให้ดูความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างควบคู่ไปกับเรื่องปัญหาเงินเฟ้อ ความเป็นธรรมทั้งต่อลูกจ้าง นายจ้าง การพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของฝีมือแรงงาน การดูแลผลกระทบผู้ประกอบการและมิติของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานและสังคม โดยเฉพาะกรณีที่แรงงานชนบทเข้ามาทำงานในเขตกรุงเทพฯ ว่า มีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือไม่ หรือควรส่งเสริมให้มีการจ้างงานในเขตชนบท เพราะการย้ายถิ่นฐานจะกระทบต่อคุณภาพสังคม และในกรณีการจ้างงานชนบททก็ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับการบริการสาธารณสุขสังคมต่อชนบทว่า มีพื้นฐานที่ดีหรือไม่
“การพิจารณาค่าจ้างแรงงาน สศช. จะมีการสรุปภาพรวมผลกระทบด้านต่าง ๆ เสนอนายกรัฐมนตรีภายใน 2 สัปดาห์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเสนอให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำ โดยต้องดูถึงความเหมาะสมต่อทุกฝ่าย รวมถึงเรื่องการขาดแคลนแรงงานและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วย” นายอำพน กล่าว
นายอำพน กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมการจ้างงานของประเทศไทยถือว่าอยู่ในภาวะการขาดแคลนแรงงาน โดยมีประชากรแรงงาน 35.6 ล้านคน มีอัตราการว่างงาน 500,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่าต่ำมาก ขณะที่มีแรงงานต่างด้าว 5-7 แสนคน และเท่าที่ทราบตัวเลขความต้องการแรงงานพบว่า เพิ่มมากขึ้นในเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภาคตะวันออก ขาดแคลนแรงงาน 47,000 ตำแหน่ง และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ต้องการแรงงานใหม่ 60,000 ตำแหน่ง ดังนั้น การดูแลปัญหาแรงงานต้องดูให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการพัฒนาศักยภาพ พัฒนาทักษะ ซึ่งหากขาดแคลนและมีแรงงานไม่มีประสิทธิภาพก็จะกระทบต่อความสามารถการแข่งขันได้
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ สศช. ศึกษาการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำจาก 184 บาท เป็น 200 บาทต่อวัน ว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่งการให้พิจารณาเพียงการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเท่านั้น แต่ให้ดูความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างควบคู่ไปกับเรื่องปัญหาเงินเฟ้อ ความเป็นธรรมทั้งต่อลูกจ้าง นายจ้าง การพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของฝีมือแรงงาน การดูแลผลกระทบผู้ประกอบการและมิติของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานและสังคม โดยเฉพาะกรณีที่แรงงานชนบทเข้ามาทำงานในเขตกรุงเทพฯ ว่า มีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือไม่ หรือควรส่งเสริมให้มีการจ้างงานในเขตชนบท เพราะการย้ายถิ่นฐานจะกระทบต่อคุณภาพสังคม และในกรณีการจ้างงานชนบททก็ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับการบริการสาธารณสุขสังคมต่อชนบทว่า มีพื้นฐานที่ดีหรือไม่
“การพิจารณาค่าจ้างแรงงาน สศช. จะมีการสรุปภาพรวมผลกระทบด้านต่าง ๆ เสนอนายกรัฐมนตรีภายใน 2 สัปดาห์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเสนอให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำ โดยต้องดูถึงความเหมาะสมต่อทุกฝ่าย รวมถึงเรื่องการขาดแคลนแรงงานและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วย” นายอำพน กล่าว
นายอำพน กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมการจ้างงานของประเทศไทยถือว่าอยู่ในภาวะการขาดแคลนแรงงาน โดยมีประชากรแรงงาน 35.6 ล้านคน มีอัตราการว่างงาน 500,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่าต่ำมาก ขณะที่มีแรงงานต่างด้าว 5-7 แสนคน และเท่าที่ทราบตัวเลขความต้องการแรงงานพบว่า เพิ่มมากขึ้นในเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภาคตะวันออก ขาดแคลนแรงงาน 47,000 ตำแหน่ง และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ต้องการแรงงานใหม่ 60,000 ตำแหน่ง ดังนั้น การดูแลปัญหาแรงงานต้องดูให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการพัฒนาศักยภาพ พัฒนาทักษะ ซึ่งหากขาดแคลนและมีแรงงานไม่มีประสิทธิภาพก็จะกระทบต่อความสามารถการแข่งขันได้