"ทิปโก้"ยักษ์ใหญ่วงการน้ำผลไม้ ขยายอาณาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ทุ่มเม็ดเงินกว่า 300 ล้านบาท ซื้อแบรนด์น้ำแร่ออราจากบริษัทธรณีพิพัฒน์ เตรียมรีโพซิชั่นนิ่ง-ปรับการสื่อสาร-บรรจุภัณฑ์ ปั้นลงสมรภูมิตลาดน้ำแร่ครึ่งปีหลัง หวังทวงบัลลังก์มิเนเร่ พร้อมทุ่ม 1,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานผลิตขวดเพ็ท รับศึกน้ำผลไม้ทรอปิคาน่า ส่วนมิเนเร่ตรึงราคา 7 บาทตอกย้ำบัลลังก์ผู้นำตลาด
แหล่งข่าวบริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ตราทิปโก้ เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทต้องการขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากขึ้น จากปัจจุบันบริษัทมีไลน์สินค้า กลุ่มน้ำผลไม้เป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทจึงได้เจรจาซื้อแบรนด์น้ำแร่"ออรา"จากบริษัท ธรณีพิพัฒน์ จำกัด ซึ่งได้มีการซื้อขายเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้การรุกเข้าสู่ตลาดน้ำแร่ของทิปโก้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมองว่าฐานกลุ่มลูกค้าน้ำผลไม้ทิปโก้ เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับน้ำแร่ออรา คือ ผู้ที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพเป็นหลัก
ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนมากกว่า 300 ล้านบาทขึ้นไป ปรับปรุงในส่วนของโรงงาน พร้อมกับตำแหน่งทางการตลาดใหม่ เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างน้ำแร่กับน้ำดื่มทั่วไป อีกทั้งยังได้เตรียมปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค สำหรับกลุ่มน้ำแร่ออราวางไว้เป็นกลุ่มระดับบีบวกขึ้นไป เนื่องจากน้ำแร่มีราคาที่แพงกว่าน้ำดื่มปกติ เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยทำงานที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพเป็นหลัก
ทั้งนี้การทำตลาดน้ำแร่ออรา จะเริ่มรุกตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ขณะที่ปีหน้านี้บริษัทถึงจะมีความพร้อมในการทำตลาดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น ด้านทีมการตลาด ระบบการกระจายสินค้าที่บริษัทได้ใช้ดีลแฮล์มเป็นผู้จัดจำหน่าย ซึ่งมั่นใจว่ามีความแข็งแกร่งพอที่จะแข่งขันกับคู่แข่งทั้งตลาดน้ำแร่อย่างมิเนเร่ของค่ายเนสท์เล่ ซึ่งมีดิสทริบิวเตอร์ 50 รายทั่วประเทศ รวมทั้งต่อกรกับตลาดน้ำดื่มรายใหญ่อีก 3 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น คริสตัลจากค่ายเสริมสุข ไทยน้ำทิพย์จากค่ายโค้ก และน้ำสิงห์จากค่ายบุญรอดฯ
สำหรับออราถือว่าเป็นแบรนด์น้ำแร่ที่ติดตลาดมานาน แต่ที่ผ่านมากลยุทธ์ในการทำตลาดไม่ค่อยดีมากนัก การวางตำแหน่งทางการตลาดไม่ชัดเจน ขาดการสื่อสารเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างน้ำแร่กับน้ำดื่มทั่วไป ส่งผลให้ออราเสียตำแหน่งผู้นำตลาดไปเมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากออราปรับราคาขนาด 600 มล.ขึ้นอีก 2 บาท จากเดิมราคา 8 บาท ขณะที่แบรนด์คู่แข่งมิเนเร่ยังคงราคาเดิมคือ 7 บาท จึงขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% ออราเป็นอันดับสองของตลาดมีส่วนแบ่ง 27% อันดับสามไอโอ ตามด้วย มองต์เฟลอ ของสหพัฒน์
"เราได้ส่งน้ำแร่ออราไปให้สถาบันน้ำแร่ในฝรั่งเศสตรวจสอบ พบว่าอยู่ในระดับ 50% ติดในอันดับต้นๆของน้ำแร่ของโลก ขณะที่น้ำแร่แบรนด์ดังอยู่ในเซกเมนต์พรีเมียมอยู่ในระดับกว่า 40% ดังนั้นการซื้อแบรนด์น้ำแร่ออรามาทำตลาดในครั้งนี้ บริษัทจึงมีความมั่นใจว่าออราจะกลับขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด แทนที่มิเนเร่ได้ในอนาคตโดยไม่ยาก เพราะด้วยคุณภาพและตราสินค้าที่ติดตลาดในฐานะเป็นผู้ผลิตน้ำแร่"
สำหรับแนวโน้มตลาดน้ำแร่มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ในแต่ละปีมีอัตราการเติบโต 20% นับว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับน้ำดื่มมูลค่า 10,000 ล้านบาทมีอัตราการเติบโต 10% อีกทั้งตลาดน้ำแร่ยังไม่มีผู้เล่นรายใดทำตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งผู้ผลิตภายในประเทศมีเพียง 20% อีก 80% นำเข้าจากต่างประเทศ โดยคาดว่าตลาดนี้ในอนาคตจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โอกาสที่ค่ายใหญ่ทั้งสามรายจะลงมาเล่นในตลาดน้ำแร่มีสูง พร้อมกันนี้อนาคตอันใกล้ตลาดน้ำดื่มไทยมีแนวโน้มซอยย่อยเซกเมนต์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มน้ำซูเปอร์ วอเตอร์ ในรูปแบบเติมวิตามินประเภทต่างๆ
แหล่งข่าว กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังได้ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานและสั่งซื้อเครื่องจักรผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ท เพื่อเตรียมเปิดตัวน้ำผลไม้ขวดเพ็ทลงสู่ตลาด จากปัจจุบันน้ำผลไม้ทิปโก้จะมีบรรจุภัณฑ์กล่องอย่างเดียว ทั้งนี้เพื่อรองรับกับแนวโน้มบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทที่กำลังมาแรง และมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เพื่อรองรับคู่แข่งรายใหม่ทรอปิคาน่า ซึ่งมีโอกาสที่จะเปิดตัวน้ำผลไม้บรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทลงสู่ตลาด รวมทั้งมองว่าตลาดชาเขียวในปีนี้ก้าวสู่ขาลง โอกาสที่น้ำผลไม้ขวดเพ็ทจะเข้าไปแทนที่ชาเขียวพร้อมดื่มมีสูง อย่างไรก็ตามขณะนี้กำลังพิจารณาว่าเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ท ด้วยนำผลไม้กลุ่มใดระหว่าง 100% 40% หรือกระทั่ง 25%
สำหรับแนวโน้มตลาดน้ำผลไม้100% มูลค่า 3,700 ล้านบาท ในปีนี้มีอัตราการเติบโต 20% โดยปัจจุบันทิปโก้เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% ที่เหลือเป็นยูนิฟกว่า 20 % มาลีกว่า 20% และส่วนตลาดน้ำผลไม้ 40% มูลค่า 700 ล้านบาท ทิปโก้ คูล มีส่วนแบ่ง 27% เป็นอันดับสองของตลาด ขณะที่ผู้นำเป็นยูนิฟมีส่วนแบ่ง 37%
นายประสพสุข สุทธาภิรมย์ กรรมการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ เปิดเผยว่า สำหรับในปีที่ผ่านมาน้ำแร่แบรนด์มิเนเร่ของบริษัทมีอัตราการเติบโตสูง โดยขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดแทนที่ออราด้วยการครองส่วนแบ่ง 70% ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะออราได้ปรับราคาขึ้นจาก 8 บาท เป็น 10 บาท ขณะที่มิเนเร่ยังคงราคาเดิม 7 บาท และปีนี้บริษัทก็ยังคงตรึงราคาไว้เท่าเดิม เพื่อรองรับสถานการณ์การแข่งขันที่มีความรุนแรงมากขึ้น
แหล่งข่าวบริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ตราทิปโก้ เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทต้องการขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากขึ้น จากปัจจุบันบริษัทมีไลน์สินค้า กลุ่มน้ำผลไม้เป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทจึงได้เจรจาซื้อแบรนด์น้ำแร่"ออรา"จากบริษัท ธรณีพิพัฒน์ จำกัด ซึ่งได้มีการซื้อขายเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้การรุกเข้าสู่ตลาดน้ำแร่ของทิปโก้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมองว่าฐานกลุ่มลูกค้าน้ำผลไม้ทิปโก้ เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับน้ำแร่ออรา คือ ผู้ที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพเป็นหลัก
ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนมากกว่า 300 ล้านบาทขึ้นไป ปรับปรุงในส่วนของโรงงาน พร้อมกับตำแหน่งทางการตลาดใหม่ เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างน้ำแร่กับน้ำดื่มทั่วไป อีกทั้งยังได้เตรียมปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค สำหรับกลุ่มน้ำแร่ออราวางไว้เป็นกลุ่มระดับบีบวกขึ้นไป เนื่องจากน้ำแร่มีราคาที่แพงกว่าน้ำดื่มปกติ เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยทำงานที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพเป็นหลัก
ทั้งนี้การทำตลาดน้ำแร่ออรา จะเริ่มรุกตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ขณะที่ปีหน้านี้บริษัทถึงจะมีความพร้อมในการทำตลาดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น ด้านทีมการตลาด ระบบการกระจายสินค้าที่บริษัทได้ใช้ดีลแฮล์มเป็นผู้จัดจำหน่าย ซึ่งมั่นใจว่ามีความแข็งแกร่งพอที่จะแข่งขันกับคู่แข่งทั้งตลาดน้ำแร่อย่างมิเนเร่ของค่ายเนสท์เล่ ซึ่งมีดิสทริบิวเตอร์ 50 รายทั่วประเทศ รวมทั้งต่อกรกับตลาดน้ำดื่มรายใหญ่อีก 3 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น คริสตัลจากค่ายเสริมสุข ไทยน้ำทิพย์จากค่ายโค้ก และน้ำสิงห์จากค่ายบุญรอดฯ
สำหรับออราถือว่าเป็นแบรนด์น้ำแร่ที่ติดตลาดมานาน แต่ที่ผ่านมากลยุทธ์ในการทำตลาดไม่ค่อยดีมากนัก การวางตำแหน่งทางการตลาดไม่ชัดเจน ขาดการสื่อสารเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างน้ำแร่กับน้ำดื่มทั่วไป ส่งผลให้ออราเสียตำแหน่งผู้นำตลาดไปเมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากออราปรับราคาขนาด 600 มล.ขึ้นอีก 2 บาท จากเดิมราคา 8 บาท ขณะที่แบรนด์คู่แข่งมิเนเร่ยังคงราคาเดิมคือ 7 บาท จึงขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% ออราเป็นอันดับสองของตลาดมีส่วนแบ่ง 27% อันดับสามไอโอ ตามด้วย มองต์เฟลอ ของสหพัฒน์
"เราได้ส่งน้ำแร่ออราไปให้สถาบันน้ำแร่ในฝรั่งเศสตรวจสอบ พบว่าอยู่ในระดับ 50% ติดในอันดับต้นๆของน้ำแร่ของโลก ขณะที่น้ำแร่แบรนด์ดังอยู่ในเซกเมนต์พรีเมียมอยู่ในระดับกว่า 40% ดังนั้นการซื้อแบรนด์น้ำแร่ออรามาทำตลาดในครั้งนี้ บริษัทจึงมีความมั่นใจว่าออราจะกลับขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด แทนที่มิเนเร่ได้ในอนาคตโดยไม่ยาก เพราะด้วยคุณภาพและตราสินค้าที่ติดตลาดในฐานะเป็นผู้ผลิตน้ำแร่"
สำหรับแนวโน้มตลาดน้ำแร่มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ในแต่ละปีมีอัตราการเติบโต 20% นับว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับน้ำดื่มมูลค่า 10,000 ล้านบาทมีอัตราการเติบโต 10% อีกทั้งตลาดน้ำแร่ยังไม่มีผู้เล่นรายใดทำตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งผู้ผลิตภายในประเทศมีเพียง 20% อีก 80% นำเข้าจากต่างประเทศ โดยคาดว่าตลาดนี้ในอนาคตจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โอกาสที่ค่ายใหญ่ทั้งสามรายจะลงมาเล่นในตลาดน้ำแร่มีสูง พร้อมกันนี้อนาคตอันใกล้ตลาดน้ำดื่มไทยมีแนวโน้มซอยย่อยเซกเมนต์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มน้ำซูเปอร์ วอเตอร์ ในรูปแบบเติมวิตามินประเภทต่างๆ
แหล่งข่าว กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังได้ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานและสั่งซื้อเครื่องจักรผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ท เพื่อเตรียมเปิดตัวน้ำผลไม้ขวดเพ็ทลงสู่ตลาด จากปัจจุบันน้ำผลไม้ทิปโก้จะมีบรรจุภัณฑ์กล่องอย่างเดียว ทั้งนี้เพื่อรองรับกับแนวโน้มบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทที่กำลังมาแรง และมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เพื่อรองรับคู่แข่งรายใหม่ทรอปิคาน่า ซึ่งมีโอกาสที่จะเปิดตัวน้ำผลไม้บรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทลงสู่ตลาด รวมทั้งมองว่าตลาดชาเขียวในปีนี้ก้าวสู่ขาลง โอกาสที่น้ำผลไม้ขวดเพ็ทจะเข้าไปแทนที่ชาเขียวพร้อมดื่มมีสูง อย่างไรก็ตามขณะนี้กำลังพิจารณาว่าเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ท ด้วยนำผลไม้กลุ่มใดระหว่าง 100% 40% หรือกระทั่ง 25%
สำหรับแนวโน้มตลาดน้ำผลไม้100% มูลค่า 3,700 ล้านบาท ในปีนี้มีอัตราการเติบโต 20% โดยปัจจุบันทิปโก้เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% ที่เหลือเป็นยูนิฟกว่า 20 % มาลีกว่า 20% และส่วนตลาดน้ำผลไม้ 40% มูลค่า 700 ล้านบาท ทิปโก้ คูล มีส่วนแบ่ง 27% เป็นอันดับสองของตลาด ขณะที่ผู้นำเป็นยูนิฟมีส่วนแบ่ง 37%
นายประสพสุข สุทธาภิรมย์ กรรมการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ เปิดเผยว่า สำหรับในปีที่ผ่านมาน้ำแร่แบรนด์มิเนเร่ของบริษัทมีอัตราการเติบโตสูง โดยขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดแทนที่ออราด้วยการครองส่วนแบ่ง 70% ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะออราได้ปรับราคาขึ้นจาก 8 บาท เป็น 10 บาท ขณะที่มิเนเร่ยังคงราคาเดิม 7 บาท และปีนี้บริษัทก็ยังคงตรึงราคาไว้เท่าเดิม เพื่อรองรับสถานการณ์การแข่งขันที่มีความรุนแรงมากขึ้น