เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ทุ่ม 100 ล้านบาท ปรับภาพลักษณ์ใหม่ครั้งแรกในรอบ 6 ปี ชูคอนเซปต์ “เฮลท์ตี้ ไลฟ์สไตล์” อิงกระแสสุขภาพ หวังเป็นหมัดขยายฐานวัยรุ่น ซุ่มขยายดิสทริบิวเตอร์ 5ปี มีความแข็งแกร่งต่อกรสามค่ายใหญ่ ลั่นสิ้นปีโค่นบัลลังก์น้ำสิงห์สำเร็จครองแชร์ 27-28%
นายประสพสุข สุทธาภิรมย์ กรรมการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ เปิดเผยว่า บริษัทแม่มีนโยบายปรับภาพลักษณ์น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ใหม่ เพื่อให้แบรนด์มีความสดใส เข้ากับบุคลิกของสินค้าที่เน้นความสะอาดและสดชื่น โดยได้มีการปรับเปลี่ยนฉลากให้ดูมีความทันสมัยโดดเด่นสะดุดตา แต่ยังคงใช้สีฟ้าและชมพูเป็นหลัก สำหรับการปรับในครั้งนี้นำร่องที่ไทยและอเมริกาเป็นแห่งแรก จากนั้นจะเริ่มทยอยปรับทั้งหมด 23 ประเทศ
สำหรับในไทยทุ่มงบ 100 ล้านบาท โดยเน้นการสร้างภาพลักษณ์น้ำดื่มให้รู้สึกว่าเมื่อดื่มแล้วดูเท่ห์ มีชีวิตชีวา ภายใต้แนวคิด “เฮลท์ตี้ ไลฟ์สไตล์” เพื่อขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ และเปลี่ยนพฤติกรรมจากการดื่มน้ำอัดลม ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มีมูลค่าถึง 30,000 ล้านบาท ส่วนตลาดชาพร้อมดื่มมีมูลค่า 4,800 ล้านบาท ให้หันมาดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ด้วยการประเดิมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “Rain” นำเสนอไลฟ์สไตล์หนุ่มสาวรุ่นใหม่ ที่มีความสดใส เพื่อสร้างการจดจำและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
“นับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่บริษัทเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา เพราะหลังจากที่เนสท์เล่เปิดตัวน้ำดื่มในไทยเมื่อปี 2544 ยังไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวทางการตลาดมากนัก การรุกตลาดในครั้งนี้เนสท์เล่ใช้งบมากที่สุดจากเมื่อปีที่ผ่านมาใช้งบ 20 ล้านบาท และยังจัดว่าใช้งบมากที่สุดในบรรดาค่ายน้ำดื่มด้วยกัน ทั้งนี้เป็นเพราะเรามีความพร้อมด้านดิสทริบิวเตอร์ จากที่ผ่านมาเนสท์เล่มีจุดอ่อนในเรื่องดังกล่าวทำให้บริษัทไม่ได้เคลื่อนไหวตลาดเท่าที่ควร”
การแข่งขันของตลาดน้ำดื่ม ซึ่งปัจจุบันมีผู้เล่นรายหลัก 4 ราย ได้แก่ เนสท์เล่ น้ำดื่มสิงห์ของค่ายบุญรอดฯ คริสตัลของค่ายเสริมสุข และไทยน้ำทิพย์ของค่ายโค้ก ทั้งหมดมีส่วนแบ่งรวมกัน 60 % ของตลาดรวมมูลค่า 13,000 ล้านบาท การแข่งขันหลักจะมาจากความแข็งแกร่งการกระจายสินค้า เนื่องจากแบรนด์รอยัลตี้น้ำดื่มมีน้อย ดังนั้นจึงขึ้นอยู่ว่าแบรนด์ใดสามารถกระจายสินค้า และเข้าถึงร้านค้าได้เร็วกว่า ซึ่งปัจจุบันเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ มีเอเยนต์ทั้งหมด 50 ราย เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
นายประสพสุข กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุน 500 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นที่โรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อรองรับกับภาวะตลาดน้ำดื่มในประเทศไทยมูลค่า 13,000 ล้านบาทในปีนี้มีอัตราการเติบโต 4-5% โดยเฉพาะน้ำดื่มขวดเพ็ทมูลค่า 6,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 50% ของตลาดรวม มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง เนื่องจากกระแสสุขภาพมาแรง ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาดื่มน้ำขวดเพ็ทมากขึ้น ทั้งนี้เครื่องจักรใหม่พร้อมผลิตในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และประมาณการณ์ว่ารองรับกำลังผลิตได้ถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น ส่วนปีหน้าจะต้องลงทุนขยายกำลังผลิตเพิ่มเติม
สำหรับภาวะตลาดน้ำดื่มขวดขุ่นมูลค่า 5,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของตลาดรวม โดยภาพรวมตลาดหดตัวลง โดยปัจจุบันเหลือผู้เล่นจาก 5,000 ราย เป็น 2,000 ราย ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เพราะราคาเม็ดพลาสติกที่ขยับขึ้น ประกอบกับภาครัฐห้ามขึ้นราคา ส่วนขวดแก้วมีสัดส่วน 20% และแกลอน 10%
ส่วนตลาดน้ำแร่มูลค่า 700-800 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของตลาดรวมน้ำดื่มมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับผลพวงจากกระแสสุขภาพเช่นเดียวกันกับน้ำดื่ม ส่งผลให้ค่ายน้ำผลไม้ “ทิปโก้”ผู้นำตลาดน้ำผลไม้ 100% ทุ่มงบ 200 ล้านบาท ซื้อน้ำแร่ออร่าเพื่อเสริมพอร์ตโฟลิโอสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มให้ครบไลน์มากยิ่งขึ้น
สำหรับในปีที่ผ่านมากลุ่มน้ำแร่แบรนด์มิเนเร่ของบริษัทมีอัตราการเติบโตสูง โดยขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดแทนที่ออราด้วยการครองส่วนแบ่ง 70% ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะออราได้ปรับราคาขึ้นจาก 7 บาท เป็น 9 บาท ขณะที่มิเนเร่ยังคงราคาเดิม 7 บาท
รายได้กลุ่มน้ำดื่มเนสท์เล่ปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตเกือบเท่าตัว จากปกติมีอัตราการเติบโต 40-50% อย่างต่อเนื่องมาตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งสิ้นปีนี้ยังตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำตลาดแทนที่น้ำดื่มสิงห์ด้วยการครองส่วนแบ่งเพิ่มจาก 23-24 %เป็น 27-28% จากปัจจุบันสิงห์มีส่วนแบ่ง 27-28% ไทยน้ำทิพย์ 10 % และคริสตัล 6-7%
นายประสพสุข สุทธาภิรมย์ กรรมการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ เปิดเผยว่า บริษัทแม่มีนโยบายปรับภาพลักษณ์น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ใหม่ เพื่อให้แบรนด์มีความสดใส เข้ากับบุคลิกของสินค้าที่เน้นความสะอาดและสดชื่น โดยได้มีการปรับเปลี่ยนฉลากให้ดูมีความทันสมัยโดดเด่นสะดุดตา แต่ยังคงใช้สีฟ้าและชมพูเป็นหลัก สำหรับการปรับในครั้งนี้นำร่องที่ไทยและอเมริกาเป็นแห่งแรก จากนั้นจะเริ่มทยอยปรับทั้งหมด 23 ประเทศ
สำหรับในไทยทุ่มงบ 100 ล้านบาท โดยเน้นการสร้างภาพลักษณ์น้ำดื่มให้รู้สึกว่าเมื่อดื่มแล้วดูเท่ห์ มีชีวิตชีวา ภายใต้แนวคิด “เฮลท์ตี้ ไลฟ์สไตล์” เพื่อขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ และเปลี่ยนพฤติกรรมจากการดื่มน้ำอัดลม ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มีมูลค่าถึง 30,000 ล้านบาท ส่วนตลาดชาพร้อมดื่มมีมูลค่า 4,800 ล้านบาท ให้หันมาดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ด้วยการประเดิมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “Rain” นำเสนอไลฟ์สไตล์หนุ่มสาวรุ่นใหม่ ที่มีความสดใส เพื่อสร้างการจดจำและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
“นับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่บริษัทเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา เพราะหลังจากที่เนสท์เล่เปิดตัวน้ำดื่มในไทยเมื่อปี 2544 ยังไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวทางการตลาดมากนัก การรุกตลาดในครั้งนี้เนสท์เล่ใช้งบมากที่สุดจากเมื่อปีที่ผ่านมาใช้งบ 20 ล้านบาท และยังจัดว่าใช้งบมากที่สุดในบรรดาค่ายน้ำดื่มด้วยกัน ทั้งนี้เป็นเพราะเรามีความพร้อมด้านดิสทริบิวเตอร์ จากที่ผ่านมาเนสท์เล่มีจุดอ่อนในเรื่องดังกล่าวทำให้บริษัทไม่ได้เคลื่อนไหวตลาดเท่าที่ควร”
การแข่งขันของตลาดน้ำดื่ม ซึ่งปัจจุบันมีผู้เล่นรายหลัก 4 ราย ได้แก่ เนสท์เล่ น้ำดื่มสิงห์ของค่ายบุญรอดฯ คริสตัลของค่ายเสริมสุข และไทยน้ำทิพย์ของค่ายโค้ก ทั้งหมดมีส่วนแบ่งรวมกัน 60 % ของตลาดรวมมูลค่า 13,000 ล้านบาท การแข่งขันหลักจะมาจากความแข็งแกร่งการกระจายสินค้า เนื่องจากแบรนด์รอยัลตี้น้ำดื่มมีน้อย ดังนั้นจึงขึ้นอยู่ว่าแบรนด์ใดสามารถกระจายสินค้า และเข้าถึงร้านค้าได้เร็วกว่า ซึ่งปัจจุบันเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ มีเอเยนต์ทั้งหมด 50 ราย เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
นายประสพสุข กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุน 500 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นที่โรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อรองรับกับภาวะตลาดน้ำดื่มในประเทศไทยมูลค่า 13,000 ล้านบาทในปีนี้มีอัตราการเติบโต 4-5% โดยเฉพาะน้ำดื่มขวดเพ็ทมูลค่า 6,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 50% ของตลาดรวม มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง เนื่องจากกระแสสุขภาพมาแรง ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาดื่มน้ำขวดเพ็ทมากขึ้น ทั้งนี้เครื่องจักรใหม่พร้อมผลิตในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และประมาณการณ์ว่ารองรับกำลังผลิตได้ถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น ส่วนปีหน้าจะต้องลงทุนขยายกำลังผลิตเพิ่มเติม
สำหรับภาวะตลาดน้ำดื่มขวดขุ่นมูลค่า 5,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของตลาดรวม โดยภาพรวมตลาดหดตัวลง โดยปัจจุบันเหลือผู้เล่นจาก 5,000 ราย เป็น 2,000 ราย ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เพราะราคาเม็ดพลาสติกที่ขยับขึ้น ประกอบกับภาครัฐห้ามขึ้นราคา ส่วนขวดแก้วมีสัดส่วน 20% และแกลอน 10%
ส่วนตลาดน้ำแร่มูลค่า 700-800 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของตลาดรวมน้ำดื่มมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับผลพวงจากกระแสสุขภาพเช่นเดียวกันกับน้ำดื่ม ส่งผลให้ค่ายน้ำผลไม้ “ทิปโก้”ผู้นำตลาดน้ำผลไม้ 100% ทุ่มงบ 200 ล้านบาท ซื้อน้ำแร่ออร่าเพื่อเสริมพอร์ตโฟลิโอสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มให้ครบไลน์มากยิ่งขึ้น
สำหรับในปีที่ผ่านมากลุ่มน้ำแร่แบรนด์มิเนเร่ของบริษัทมีอัตราการเติบโตสูง โดยขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดแทนที่ออราด้วยการครองส่วนแบ่ง 70% ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะออราได้ปรับราคาขึ้นจาก 7 บาท เป็น 9 บาท ขณะที่มิเนเร่ยังคงราคาเดิม 7 บาท
รายได้กลุ่มน้ำดื่มเนสท์เล่ปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตเกือบเท่าตัว จากปกติมีอัตราการเติบโต 40-50% อย่างต่อเนื่องมาตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งสิ้นปีนี้ยังตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำตลาดแทนที่น้ำดื่มสิงห์ด้วยการครองส่วนแบ่งเพิ่มจาก 23-24 %เป็น 27-28% จากปัจจุบันสิงห์มีส่วนแบ่ง 27-28% ไทยน้ำทิพย์ 10 % และคริสตัล 6-7%