อีลิทคุยยอดขายสมาชิกทะลุกว่า 2 พันราย "โชคศิริ" คึกปรับโครงสร้างการทำงาน หวังยอดขายปีนี้ทะลุอีกกว่า 2 พันรายส่งกำไรพุ่งกว่า 1 พันล้านบาท ประกาศโละเอเย่นต์ 4 รายที่ทำงานไม่ได้ตามเป้าหมาย พร้อมยกฐานะจัดระเบียบช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ ตั้งเป็นตัวแทนขายระดับภูมิภาค แบ่ง 6 กลุ่มประเทศ ยอมรับที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับสื่อน้อยส่งภาพลักษณ์องค์กรเสีย ขอแก้มือปีนี้
นายโชคศิริ รอดบุญพา ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด(TPC) เปิดเผยว่า เพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทมีแผนที่จะปรับปรุงการทำงานในทุกส่วนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านสินค้า,บริการ และระบบการขาย ล่าสุดได้เปลี่ยนระบบช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ จากเดิมที่มีเพียงตัวแทนขายในระดับประเทศ ก็เปลี่ยนมาจัดเป็นตัวแทนขายระดับภูมิภาค(DP) แบ่งเป็น 6 กลุ่มคือ เอเชียเหนือ, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ,ตะวันออกกลางและอินเดีย, ยุโรป ,สแกนดิเนเวีย และอเมริกาเหนือ โดยตัวแทนทั้ง 6 กลุ่ม จะทำการขาย และรายงายตรงต่อทีพีซี พร้อมกับมีหน้าที่ดูแลตัวแทนขายระดับประเทศ(CP) เพื่อกระตุ้นให้ตัวแทนขายทุกรายมียอดขายตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ พร้อมตั้งไทยแลนด์ อีลิท อคาเดมี่ ทำหน้าที่เสมือนสถาบันฝึกอบรมให้ความรู้เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับสมาชิกและตัวแทนขาย กระดับทีพีซีและคู่ค้าให้ไปสู่มาตรฐานระดับเวิลด์คลาส
และเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ทีพีซี ได้ตัดตัวแทนจำหน่ายออก 4 ราย จากทั้งหมด 13 ราย เพราะมียอดขายไม่เป็นไปตามเป้า ได้แก่ King Pacific ไต้หวัน , Grand Elite ปักกิ่ง ,Pesik อินโดนีเซีย และ RPH Living เยอรมัน และยังลดฐานะของบริษัท Patco สิงคโปร์ จากคันทรีเลฟ ลงมาเป็นตัวแทนจำหน่าย
ด้านยอดขายล่าสุดถึงวันที่ 31 มกราคม 2549 ทีพีซี มียอดจำหน่ายบัตรอีลิทรวมทั้งสิ้น 2,063 ราย เร็วกว่าที่ตั้งไว้ว่าจะถึงเป้าในเดือนกุมภาพันธ์ มีผลกำไร 24 ล้านบาท ดึงให้เกิดการเข้ามาลงทุนในประเทศ 3,700 ล้านบาท ใน 8 โครงการ สำหรับเงินรายได้ของ ทีพีซี 25% จะนำไปใช้สำหรับการบริหารจัดการ ส่วนที่เหลือจะแบ่งลงทุนในโครงการที่เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับอีลิท และการท่องเที่ยว อีกส่วนหนึ่งจะลงทุนในกองทุนหรือพันธบัตร
ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มอีก 2,000 ใบ มีกำไรประมาณ 1,100 ล้านบาท โดยทีพีซี ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการขาย จากเดิมที่จะเริ่มใช้ 3 แพกเกจ คือ อีลิทลีฟวิ่ง อีลิทคอนเนค และ อีลิทโมเมน แบ่งตามพฤติกรรมการใช้บริการ แต่พบว่าลูกค้าไม่สามารถตัดสินใจซื้อได้ทันที ดังนั้น เราจึงใช้วิธีการขายบัตรสมาชิกแบบพื้นฐานเดิมไปก่อนในราคาใบละ 1 ล้านบาท แล้วค่อยให้สมาชิกตัดสินใจเลือกสินค้าจาก 3 ออพชั่น นอกจากนั้น ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่สมาชิก เช่น สิทธิการจองเล่นกอล์ฟ ,แพกเกจสปา และ ฟาสแทรกในการติดต่อหน่วยงานราชการ ที่เพิ่มขึ้นกว่าที่มีอยู่ปัจจุบัน เช่น การขอใบขับขี่ การต่อวีซ่า เป็นต้น
อย่างไรก็ตามปีนี้ทีพีซีตั้งงบการตลาดและประชาสัมพันธ์ไว้ 196 ล้านบาท แบ่งเป็น งบประชาสัมพันธ์ในประเทศ 40% งบทำตลาดต่างประเทศ 25% และที่เหลือเป็นงบใช้จ่ายสำหรับการขายอีกราว 35% โดยเราจะให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจกับสื่อให้มีมากขึ้น ซึ่งยอมรับว่าที่ผ่านมายังขาดการสื่อสารกับสื่อ และขาดการสร้างการรับรู้ในความหมายของ บัตรอีลิท ให้กับคนไทย ซึ่งแผนที่จะทำควบคู่ไปกับการทำตลาดในด้านอื่นๆ สำหรับปีหน้า คาดว่าจะเพิ่มยอดขายอีก 3,500 ใบ แต่คงจะต้องมีการปรับขึ้นค่าสมาชิก เพราะต้องการควบคุมปริมาณให้อยู่ในวงจำกัด เพื่อดุและบริการให้เป็นระดับอีลิท และระดับ 6 ดาวจริงๆ
นายโชคศิริ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการยืนยันว่า อีลิทประสบความสำเร็จตรงตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัท จึงได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนทำการวิจัย พบว่า ในปีที่ผ่านมา มีสมาชิกอีลิท เดินทางเข้ามาประเทศไทยรวม 3,525 ครั้ง นำรายได้เข้าประเทศ 500 ล้านบาท มีการใช้จ่ายเงินต่อครั้งเฉลี่ย 1.4 แสนบาท หรือ 3.5 หมื่นบาทต่อวัน แต่ละครั้งเข้ามาพำนักในประเทศไทยนาน 4 วัน โดยสมาชิกต่อคนจะเดินทางมาเฉลี่ย 5-6 ครั้งต่อคน ขณะที่นักท่องเที่ยวทั่วไป จะมีการใช้จ่ายเพียง 4 พันบาทต่อคนต่อวัน
นายโชคศิริ รอดบุญพา ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด(TPC) เปิดเผยว่า เพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทมีแผนที่จะปรับปรุงการทำงานในทุกส่วนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านสินค้า,บริการ และระบบการขาย ล่าสุดได้เปลี่ยนระบบช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ จากเดิมที่มีเพียงตัวแทนขายในระดับประเทศ ก็เปลี่ยนมาจัดเป็นตัวแทนขายระดับภูมิภาค(DP) แบ่งเป็น 6 กลุ่มคือ เอเชียเหนือ, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ,ตะวันออกกลางและอินเดีย, ยุโรป ,สแกนดิเนเวีย และอเมริกาเหนือ โดยตัวแทนทั้ง 6 กลุ่ม จะทำการขาย และรายงายตรงต่อทีพีซี พร้อมกับมีหน้าที่ดูแลตัวแทนขายระดับประเทศ(CP) เพื่อกระตุ้นให้ตัวแทนขายทุกรายมียอดขายตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ พร้อมตั้งไทยแลนด์ อีลิท อคาเดมี่ ทำหน้าที่เสมือนสถาบันฝึกอบรมให้ความรู้เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับสมาชิกและตัวแทนขาย กระดับทีพีซีและคู่ค้าให้ไปสู่มาตรฐานระดับเวิลด์คลาส
และเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ทีพีซี ได้ตัดตัวแทนจำหน่ายออก 4 ราย จากทั้งหมด 13 ราย เพราะมียอดขายไม่เป็นไปตามเป้า ได้แก่ King Pacific ไต้หวัน , Grand Elite ปักกิ่ง ,Pesik อินโดนีเซีย และ RPH Living เยอรมัน และยังลดฐานะของบริษัท Patco สิงคโปร์ จากคันทรีเลฟ ลงมาเป็นตัวแทนจำหน่าย
ด้านยอดขายล่าสุดถึงวันที่ 31 มกราคม 2549 ทีพีซี มียอดจำหน่ายบัตรอีลิทรวมทั้งสิ้น 2,063 ราย เร็วกว่าที่ตั้งไว้ว่าจะถึงเป้าในเดือนกุมภาพันธ์ มีผลกำไร 24 ล้านบาท ดึงให้เกิดการเข้ามาลงทุนในประเทศ 3,700 ล้านบาท ใน 8 โครงการ สำหรับเงินรายได้ของ ทีพีซี 25% จะนำไปใช้สำหรับการบริหารจัดการ ส่วนที่เหลือจะแบ่งลงทุนในโครงการที่เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับอีลิท และการท่องเที่ยว อีกส่วนหนึ่งจะลงทุนในกองทุนหรือพันธบัตร
ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มอีก 2,000 ใบ มีกำไรประมาณ 1,100 ล้านบาท โดยทีพีซี ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการขาย จากเดิมที่จะเริ่มใช้ 3 แพกเกจ คือ อีลิทลีฟวิ่ง อีลิทคอนเนค และ อีลิทโมเมน แบ่งตามพฤติกรรมการใช้บริการ แต่พบว่าลูกค้าไม่สามารถตัดสินใจซื้อได้ทันที ดังนั้น เราจึงใช้วิธีการขายบัตรสมาชิกแบบพื้นฐานเดิมไปก่อนในราคาใบละ 1 ล้านบาท แล้วค่อยให้สมาชิกตัดสินใจเลือกสินค้าจาก 3 ออพชั่น นอกจากนั้น ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่สมาชิก เช่น สิทธิการจองเล่นกอล์ฟ ,แพกเกจสปา และ ฟาสแทรกในการติดต่อหน่วยงานราชการ ที่เพิ่มขึ้นกว่าที่มีอยู่ปัจจุบัน เช่น การขอใบขับขี่ การต่อวีซ่า เป็นต้น
อย่างไรก็ตามปีนี้ทีพีซีตั้งงบการตลาดและประชาสัมพันธ์ไว้ 196 ล้านบาท แบ่งเป็น งบประชาสัมพันธ์ในประเทศ 40% งบทำตลาดต่างประเทศ 25% และที่เหลือเป็นงบใช้จ่ายสำหรับการขายอีกราว 35% โดยเราจะให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจกับสื่อให้มีมากขึ้น ซึ่งยอมรับว่าที่ผ่านมายังขาดการสื่อสารกับสื่อ และขาดการสร้างการรับรู้ในความหมายของ บัตรอีลิท ให้กับคนไทย ซึ่งแผนที่จะทำควบคู่ไปกับการทำตลาดในด้านอื่นๆ สำหรับปีหน้า คาดว่าจะเพิ่มยอดขายอีก 3,500 ใบ แต่คงจะต้องมีการปรับขึ้นค่าสมาชิก เพราะต้องการควบคุมปริมาณให้อยู่ในวงจำกัด เพื่อดุและบริการให้เป็นระดับอีลิท และระดับ 6 ดาวจริงๆ
นายโชคศิริ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการยืนยันว่า อีลิทประสบความสำเร็จตรงตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัท จึงได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนทำการวิจัย พบว่า ในปีที่ผ่านมา มีสมาชิกอีลิท เดินทางเข้ามาประเทศไทยรวม 3,525 ครั้ง นำรายได้เข้าประเทศ 500 ล้านบาท มีการใช้จ่ายเงินต่อครั้งเฉลี่ย 1.4 แสนบาท หรือ 3.5 หมื่นบาทต่อวัน แต่ละครั้งเข้ามาพำนักในประเทศไทยนาน 4 วัน โดยสมาชิกต่อคนจะเดินทางมาเฉลี่ย 5-6 ครั้งต่อคน ขณะที่นักท่องเที่ยวทั่วไป จะมีการใช้จ่ายเพียง 4 พันบาทต่อคนต่อวัน