เออาร์ที ค้าปลีกพันธ์ไทย ปรับเกมบุกใหม่ เปิดกลยุทธ์ใหม่ รูปแบบร้านค้าต้นแบบขนาดเล็ก ส่งตู้คอนเทนเนอร์ ลงตลาด ลงทุนต่ำ 4 แสนบาท สร้างความคล่องตัวและรวดเร็วในการขยายร้านค้าต้นแบบ หวังเป้าหมายปีนี้ แค่แบบขนาดเล็กอย่างเดียว 100 สาขา ส่วนร้านค้าสมาชิกคาดหวังเพิ่มอีก 4,000 ราย เน้นการทำตลาดโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้น ดันยอดรายได้โตเป็น 1,000 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากบริษัท รวมค้าปลีกเข้มแข็ง จำกัด ผู้บริหารร้านค้าปลีกเออาร์ที เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ถึงแผนการดำเนินธุรกิจของเออาร์ทีในปีนี้ว่า เออาร์ทีจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานบางประการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในเชิงธุรกิจให้เข็มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเปิดร้านเออาร์ทีต้นแบบ ที่จะหันมาเพิ่มรูปแบบขนาดเล็กมากขึ้น เนื่องจากจะมีความคล่องตัวในการหาทำเล และงบลงทุนที่จะใช้น้อยกว่าเดิม ส่งผลต่อความคล่องตัวกับผู้สนใจที่จะลงทุนเปิดร้านเออาร์ที
ทั้งนี้รูปแบบของร้านต้นแบบเออาร์ทีแบบเล็กนี้ จะมีพื้นที่โดยเฉลี่ยไม่มากหรือ ขนาดเท่ากับตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะใช้วิธีการตั้งตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายต่อการเปิดร้านด้วย และใช้งบลงทุนต่ำประมาณ 400,000 บาท แต่อาจจะมีสินค้าไม่มากเท่ากับร้านขนาดใหญ่ที่มีสินค้ามากกว่า 2,000 เอสเคยู ขณะที่ร้านค้าสมาชิกจะมีสินค้าประมาณ 800 เอสเคยู คาดว่าในปีนี้จะสามารถเปิดร้านรูปแบบเล็กแบบตู้คอนเทนเนอร์นี้ได้ประมาณ 100 แห่ง
จากเดิมที่การดำเนินงานที่ผ่านมาจะเน้นการเปิดร้านต้นแบบที่มีขนาดใหญ่ซึ่งจะมีพื้นที่มากกว่านี้เฉลี่ย 36 ตารางเมตรขึ้นไป ใช้เงินลงทุนมากกว่า 700,000 บาท ส่วนถ้าพื้นที่มากกว่านี้คือ ประมาณ ห้องแถว 2 คูหา จะลงทุนประมาณ 900,000 บาท ส่วนซัปพลายเออร์ก็มีจำนวนมากทั้งบริษัทไทยและต่างชาติ
นอกจากนั้นแล้วยังมีแผนที่จะทำการตลาดทางด้านประชาสัมพันธ์และโฆษณามากขึ้นกว่าปีที่แล้ว เพื่อให้คนรู้จักธุรกิจของเออาร์ทีและมีความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งตรงนี้จะส่งผลดีต่อการขยายตัวด้วย เมื่อคนรู้จักและเข้าใจเออาร์ทีมากขึ้นว่าคืออะไร
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่มีเป้าหมายที่จะไปแข่งขันทางด้านธุรกิจกับร้านค้าปลีกคอนวีเนียนสโตร์รายอื่นๆที่มีอยู่หลายเชนในปัจจุบันนี้ เนื่องจาก จุดประสงค์และเป้าหมายของการก่อเกิดเออาร์ทีนั้นแตกต่างจากรายอื่นอยู่แล้วอย่างชัดเจน เพราะเออาร์ทีต้องการที่จะช่วยร้านโชวห่วยของคนไทยให้มีความเข้มแข็งในการทำธุรกิจ ดังนั้นจึงไม่เน้นการทำโปรโมชั่นหรือการลดราคาแข่งกับรายอื่น
ขณะเดียวกันจะเป็นการปรับองค์กรในบางจุดและลงทุนทางด้านระบบงานต่างๆให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การพิจารณาลดหรือยุบทีมงานที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ต่างๆเพื่อหาลูกค้าใหม่ๆ เนื่องจากใช้ต้นทุนสูงและผลที่ได้รับไม่คุ้มค่า โดยจะหันมามุ่งเน้นทางด้านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการใช้เทเลมาร์เก็ตติ้งแทน
“ในปีนี้คาดว่าต้นทุนขาย ค่าขนส่ง คงจะยังมีผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจในภาพรวมบ้างเช่นกัน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากปีที่แล้ว ดังนั้น ปีนี้คงต้องมีการปรับวิธีการหลายอย่างเพื่อลดต้นทุน ซึ่งแนวทางหนึ่งที่ทำก็คือ การปรับรูปแบบร้านเออาร์ทีให้เล็กลงเช่นเป็นตู้คอนเทนเนอร์ เป็นต้น”
สำหรับผลการดำเนินงานร้านเออาร์ทีเมื่อปีที่แล้ว มียอดขายรวมประมาณ 650 ล้านบาท ส่วนจำนวนสมาชิกและร้านค้านั้น สรุปมีร้านค้าสมาชิกประมาณ 1 4,000 ราย ส่วนร้านค้าต้นแบบสรุปมีประมาณ 23 แห่งที่เปิดบริการแล้ว ล่าสุดที่เพิ่งเปิดบริการเช่น สาขาที่ถนนแจ้งวัฒนะ และร้านเออาร์ทียูพีมาร์ท ซึ่งถือเป็นร้านค้าต้นแบบเออาร์ทีแห่งแรกในจังหวัดมหาสารคามด้วย และเป็นแห่งที่ 22 ของเออาร์ที
โดยในปีนี้เออาร์ทีตั้งเป้าหมายที่จะทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 900-1,000 ล้านบาท และจะเพิ่มจำนวนร้านค้าสมาชิกอีก 4,000 ราย รวมเป็นทั้งสิ้น 18,000 ราย
แหล่งข่าวจากบริษัท รวมค้าปลีกเข้มแข็ง จำกัด ผู้บริหารร้านค้าปลีกเออาร์ที เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ถึงแผนการดำเนินธุรกิจของเออาร์ทีในปีนี้ว่า เออาร์ทีจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานบางประการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในเชิงธุรกิจให้เข็มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเปิดร้านเออาร์ทีต้นแบบ ที่จะหันมาเพิ่มรูปแบบขนาดเล็กมากขึ้น เนื่องจากจะมีความคล่องตัวในการหาทำเล และงบลงทุนที่จะใช้น้อยกว่าเดิม ส่งผลต่อความคล่องตัวกับผู้สนใจที่จะลงทุนเปิดร้านเออาร์ที
ทั้งนี้รูปแบบของร้านต้นแบบเออาร์ทีแบบเล็กนี้ จะมีพื้นที่โดยเฉลี่ยไม่มากหรือ ขนาดเท่ากับตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะใช้วิธีการตั้งตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายต่อการเปิดร้านด้วย และใช้งบลงทุนต่ำประมาณ 400,000 บาท แต่อาจจะมีสินค้าไม่มากเท่ากับร้านขนาดใหญ่ที่มีสินค้ามากกว่า 2,000 เอสเคยู ขณะที่ร้านค้าสมาชิกจะมีสินค้าประมาณ 800 เอสเคยู คาดว่าในปีนี้จะสามารถเปิดร้านรูปแบบเล็กแบบตู้คอนเทนเนอร์นี้ได้ประมาณ 100 แห่ง
จากเดิมที่การดำเนินงานที่ผ่านมาจะเน้นการเปิดร้านต้นแบบที่มีขนาดใหญ่ซึ่งจะมีพื้นที่มากกว่านี้เฉลี่ย 36 ตารางเมตรขึ้นไป ใช้เงินลงทุนมากกว่า 700,000 บาท ส่วนถ้าพื้นที่มากกว่านี้คือ ประมาณ ห้องแถว 2 คูหา จะลงทุนประมาณ 900,000 บาท ส่วนซัปพลายเออร์ก็มีจำนวนมากทั้งบริษัทไทยและต่างชาติ
นอกจากนั้นแล้วยังมีแผนที่จะทำการตลาดทางด้านประชาสัมพันธ์และโฆษณามากขึ้นกว่าปีที่แล้ว เพื่อให้คนรู้จักธุรกิจของเออาร์ทีและมีความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งตรงนี้จะส่งผลดีต่อการขยายตัวด้วย เมื่อคนรู้จักและเข้าใจเออาร์ทีมากขึ้นว่าคืออะไร
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่มีเป้าหมายที่จะไปแข่งขันทางด้านธุรกิจกับร้านค้าปลีกคอนวีเนียนสโตร์รายอื่นๆที่มีอยู่หลายเชนในปัจจุบันนี้ เนื่องจาก จุดประสงค์และเป้าหมายของการก่อเกิดเออาร์ทีนั้นแตกต่างจากรายอื่นอยู่แล้วอย่างชัดเจน เพราะเออาร์ทีต้องการที่จะช่วยร้านโชวห่วยของคนไทยให้มีความเข้มแข็งในการทำธุรกิจ ดังนั้นจึงไม่เน้นการทำโปรโมชั่นหรือการลดราคาแข่งกับรายอื่น
ขณะเดียวกันจะเป็นการปรับองค์กรในบางจุดและลงทุนทางด้านระบบงานต่างๆให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การพิจารณาลดหรือยุบทีมงานที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ต่างๆเพื่อหาลูกค้าใหม่ๆ เนื่องจากใช้ต้นทุนสูงและผลที่ได้รับไม่คุ้มค่า โดยจะหันมามุ่งเน้นทางด้านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการใช้เทเลมาร์เก็ตติ้งแทน
“ในปีนี้คาดว่าต้นทุนขาย ค่าขนส่ง คงจะยังมีผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจในภาพรวมบ้างเช่นกัน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากปีที่แล้ว ดังนั้น ปีนี้คงต้องมีการปรับวิธีการหลายอย่างเพื่อลดต้นทุน ซึ่งแนวทางหนึ่งที่ทำก็คือ การปรับรูปแบบร้านเออาร์ทีให้เล็กลงเช่นเป็นตู้คอนเทนเนอร์ เป็นต้น”
สำหรับผลการดำเนินงานร้านเออาร์ทีเมื่อปีที่แล้ว มียอดขายรวมประมาณ 650 ล้านบาท ส่วนจำนวนสมาชิกและร้านค้านั้น สรุปมีร้านค้าสมาชิกประมาณ 1 4,000 ราย ส่วนร้านค้าต้นแบบสรุปมีประมาณ 23 แห่งที่เปิดบริการแล้ว ล่าสุดที่เพิ่งเปิดบริการเช่น สาขาที่ถนนแจ้งวัฒนะ และร้านเออาร์ทียูพีมาร์ท ซึ่งถือเป็นร้านค้าต้นแบบเออาร์ทีแห่งแรกในจังหวัดมหาสารคามด้วย และเป็นแห่งที่ 22 ของเออาร์ที
โดยในปีนี้เออาร์ทีตั้งเป้าหมายที่จะทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 900-1,000 ล้านบาท และจะเพิ่มจำนวนร้านค้าสมาชิกอีก 4,000 ราย รวมเป็นทั้งสิ้น 18,000 ราย