xs
xsm
sm
md
lg

"หม่อมอุ๋ย"รับดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้ยังมีปัญหา แม้เศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้ว่าแบงก์ชาติยอมรับ ดุลบัญชีเดินสะพัดยังมีปัญหาขาดดุลอยู่ แม้ภาวะเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันยังเป็นปัญหาที่สำคัญ แต่เชื่อทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงจะช่วยลดปัญหาได้บ้าง ชี้สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยโลกยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก พร้อมระบุประชาชนไม่เข้าใจเอฟทีเอ เพราะรัฐอ่อนการประชาสัมพันธ์ที่ดี

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวในงานวันสถาปนาครบรอบ 83 ปี กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ว่า โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2549 เท่าที่มีการประเมิน เศรษฐกิจภายในประเทศไม่มีปัญหา ซึ่งจะเป็นเศรษฐกิจที่ดี เช่น ภาคการส่งออกขยายตัวขึ้น การลงทุนภาคเอกชนดีกว่าปีที่ผ่านมา ราคาพืชผลทางการเกษตรดี ปัญหาภัยแล้งไม่เกิดขึ้น ปัญหาการขาดน้ำไม่เกิดขึ้น เศรษฐกิจภายในประเทศจึงเป็นเศรษฐกิจขาขึ้นทั้งสิ้น พร้อมเชื่อว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2549 น่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 - 6 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ร้อยละ 2 - 3 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 3.5 - 5 แต่การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงติดลบอยู่ คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2,500 - 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมัน แม้ขณะนี้มีแนวโน้มชะลอตัวไปบ้าง แต่ยังไว้วางใจไม่ได้ เพราะราคาน้ำมันตลอดทั้งปี 2549 ยังมีแนวโน้มที่จะผันผวนอยู่

“อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า แม้ปีนี้ประเทศไทยจะประสบปัญหาราคาน้ำมันและโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ หรือเมกะโปรเจกต์ อาจจะทำให้ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศซึ่งมีอยู่กว่า 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะลดปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

สำหรับความผันผวนของค่าเงินบาท ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า เท่าที่ได้มีการติดตามขณะนี้ค่าเงินบาททรงตัวและนิ่งบ้างแล้ว ซึ่งค่าเงินบาทไปผูกโยงกับค่าเงินสกุลต่าง ๆ แต่เชื่อว่าเป็นเพียงระยะสั้น ในส่วนของ ธปท.จะติดตามดูแลค่าเงินบาทไม่ให้เกิดความผันผวนมาก เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ส่งออกมากเกินไป ขณะที่ในภาวะราคาน้ำมันยังผันผวน คนไทยจะต้องหันมาใช้พลังงานอย่างประหยัดและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน เพราะหากเปรียบเทียบการใช้น้ำมันในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยเป็นผู้ใช้น้ำมันมากที่สุด ดังนั้น แนวทางของรัฐบาลที่จะกระตุ้นให้คนไทยลดการใช้พลังงานและใช้พลังงานเท่าที่จำเป็นถือว่าถูกต้อง

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ ธปท.กำลังติดตามเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยเฉพาะด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มองว่าอาจจะมีปัญหา เพราะเมื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐมีปัญหาก็จะมีการปรับดอกเบี้ย ซึ่งจะกระทบต่อธุรกิจภาคการเงินไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ซึ่งทาง ธปท.จะดูแลอย่างใกล้ชิด หากจะมีการขึ้นดอกเบี้ยจะไม่ให้กระทบต่อภาคธุรกิจการเงินของไทยมากนัก โดยอัตราดอกเบี้ยโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นจะทำให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศต้องปรับขึ้นตาม แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะพยายามให้เศรษฐกิจในประเทศกระทบน้อยที่สุด และคงจะไปฝืนไม่ให้มีการปรับดอกเบี้ยไม่ได้ แต่ยังยืนยันปัจจัยหนุนที่ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ดีขึ้นมีหลายปัจจัย

ส่วนนโยบายเอฟทีเอนั้นเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการทำเพื่อประโยชน์ต่อประเทศ แต่การที่เกิดปัญหาการคัดค้านที่เกี่ยวข้องแล้ว หน่วยงานของรัฐจะต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาการเจรจาเอฟทีเอ ไม่ว่าจะเป็นไทย-จีน ไทย-นิวซีแลนด์ และไทย-ออสเตรเลีย ไม่มีปัญหาทุกคนรับได้ แต่เมื่อเปิดเจรจาเอฟทีเอ ไทย-สหรัฐ หรือ ไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ก็มีการพูดกันครึกโครม ทำให้เกิดความหมั่นไส้ รวมทั้งคนที่เจรจาก็ออกมาพูดทำให้เป็นผลกระทบเมื่อเจรจาเสร็จแล้ว ดังนั้น หากรัฐบาลจะเดินหน้าทำเอฟทีเอ จะต้องทำการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจมากกว่านี้ อย่าไปพูดในสิ่งที่ย้อนหลัง โดยต้องประชาสัมพันธ์ว่าทำแล้วกระทบต่อประเทศหรือคนไทยหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังไม่ได้มีการชักจูงให้คนรู้ ทำให้เกิดความระแวง แต่การเจรจาเอฟทีเอ ในฐานะที่ดูแลภาคการเงินจะพยายามทำให้กระทบน้อยที่สุด และทำให้ประเทศได้ประโยชน์มากที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น