นาทีนี้หากใครไม่รู้จัก "ดร.เกษมสันต์ วีระกุล" ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร ภายใต้บริษัทยักษ์ใหญ่น้ำเมา ไทยเบฟ เวอเรจ จำกัด (มหาชน) คงไม่มี เพราะด้วยบทบาทหน้าที่โดดเด่น และถือเป็นผู้พลิกจุดเปลี่ยนให้กับบริษัทไทยเบฟฯ เปิดตัวสู่สาธารณชนมากขึ้น โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ เพราะนับจากในอดีตความเคลื่อนไหวของบริษัทเอง หรือกระทั่งตัวเจ้าสัวน้ำเมา "เจริญ สิริวัฒนภักดี" จะค่อนข้างเก็บตัวและไม่ค่อยเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้มากนัก
การเข้ามาสู่ตำแหน่งใหม่ของเกษมสันต์ ในวันนี้ จึงอาจเปรียบได้กับเหมือนเป็น ควานช้าง ก็ไม่ผิด ที่จะต้องคอยคุมเกมในการสร้างภาพลักษณ์ให้กับไทยเบฟฯ
นายเกษมสันต์ วีระกุล ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยเบฟ เวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดิมทีในอดีตบริษัทไทยเบฟฯถือว่าเป็นผู้ผูกขาดธุรกิจแอลกอฮอล์ การแข่งขันทางการตลาดมีน้อย จึงทำให้บริษัทไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนมากนัก แต่นโยบายที่บริษัทต้องการรุกตลาดต่างประเทศเป็นจุดเปลี่ยนไทยเบฟฯ ทำให้ต้องเปิดเผยความเคลื่อนไหว ชี้แจงเรื่องราวต่างๆแก่สาธารณชนได้รับรู้มากขึ้น โดยวางมาตรฐานการสื่อสารอยู่ในระดับเดียวกับบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับความเคลื่อนไหวด้านการสื่อสารไทยเบฟฯในปี 2549 วางไว้ 6 ประการด้วยกัน ประการแรก คือ วิสัยทัศน์ขององค์กรกร ทิศทางและกลยุทธ์ ซึ่งจะมีท่านประธานบริษัท คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี และรองประธาน คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี เปิดตัวต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนมากขึ้น ประการที่สอง กิจกรรมสังคมที่จะต้องมีการบอกเล่าเพิ่มขึ้น ประการที่สาม การปรับโครงสร้างใหม่ของบริษัทภายใต้ทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งได้ทำไปเมื่อ 2-3ปีที่ผ่านมา แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้
ประการที่สี่ สื่อสารถึงโครงการใหม่ๆ และประการที่ห้า สื่อสารถึงกิจกรรมต่างๆที่เสริมภาพลักษณ์องค์กร ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมการไว้บ้างแล้ว เช่น ปีนี้เป็นที่ฉลองการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ 60 ปี ทางบริษัทได้เตรียมจัดกิจกรรมประกวดขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ล่าสุดมีเด็กนักเรียนแสดงความจำนงค์มาแล้ว 1 หมื่นคน เป็นต้น
ประการสุดท้าย จับมือกับผู้บริหารสินค้าในเครือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมสังคมเพิ่มขึ้น เช่น ที่ผ่านมาเหล้าสี"แสงโสม"ของเราทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท ทำปะการังเทียมให้ปลาได้มีที่อยู่อาศัย หลังจากเกิดเหตุการคลื่นยักษ์สึนามิ แต่ไม่ได้มีการสื่อสารออกมาให้สาธารณชนได้รับรู้
จากนี้ไปเราจะประชาสัมพันธ์ทั้ง 6 ประการที่กล่าวข้างต้นในเชิงรุกมากขึ้น เพราะการมีภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้ทุกคนเข้าใจในมุมมองที่ถูกต้องมากขึ้น เหมือนสร้างภูมิคุ้มกันให้กับองค์กรไปในตัว ตัวท่านประธานเองก็เห็นด้วยกับจุดเปลี่ยนด้านการสื่อสารองค์กรของไทยเบฟว่า หากจะทำอะไรจะต้องมีความโปร่งใส มีขั้นตอน อธิบายและชี้แจงกับสื่อมวลชนได้
"เรื่องที่เราต้องชี้แจงอย่างเร่งด่วน และต้องทำงานอย่างหนักในปี 2549 คงเป็นเรื่องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้สาธารณชนได้เข้าใจอย่างถูกต้อง หลังจากมีกระแสคัดค้านการเข้าตลาดทรัพย์หลักแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด "
จากนี้ไปภาพเดิมของไทยเบฟฯ ที่สื่อมวลชนและสาธารณชนจะรู้จักผู้บริหารแค่ 3 คน ประกอบด้วย คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี,คุณธนิต ธรรมสุคติ ซึ่งก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา บริษัทเบียร์ไทย 1991 จำกัด ล่าสุดเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทศภาค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านลิขสิทธิ์กีฬา และคุณสมชัย สิทธิกุลพาณิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เกตติ้ง จำกัด (มหาชน) จะไม่มีอีกแล้ว แต่ต่อจากนี้ผู้ที่ดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์ตัวไหน ไม่ว่าจะเป็น แสงโสม แม่โขง มังกรทอง ก็ต้องออกมาแถลงข่าวด้วยตนเองมากขึ้น
นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของบริษัทไทยเบฟฯ เวอเรจ จำกัด (มหาชน)ยักษ์ใหญ่วงการน้ำเมาไทย ที่ไม่เพียงพลิกมิติบทบาทสื่อสารองค์กรใหม่เท่านั้น แต่ด้านการตลาด และทีมผู้บริหารที่ขนคนรุ่นใหม่เข้ามาเสริมทัพอีกเพียบ เป็นการเตรียมทัพก่อนโกอินเตอร์อย่างเต็มรูปแบบ
การเข้ามาสู่ตำแหน่งใหม่ของเกษมสันต์ ในวันนี้ จึงอาจเปรียบได้กับเหมือนเป็น ควานช้าง ก็ไม่ผิด ที่จะต้องคอยคุมเกมในการสร้างภาพลักษณ์ให้กับไทยเบฟฯ
นายเกษมสันต์ วีระกุล ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยเบฟ เวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดิมทีในอดีตบริษัทไทยเบฟฯถือว่าเป็นผู้ผูกขาดธุรกิจแอลกอฮอล์ การแข่งขันทางการตลาดมีน้อย จึงทำให้บริษัทไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนมากนัก แต่นโยบายที่บริษัทต้องการรุกตลาดต่างประเทศเป็นจุดเปลี่ยนไทยเบฟฯ ทำให้ต้องเปิดเผยความเคลื่อนไหว ชี้แจงเรื่องราวต่างๆแก่สาธารณชนได้รับรู้มากขึ้น โดยวางมาตรฐานการสื่อสารอยู่ในระดับเดียวกับบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับความเคลื่อนไหวด้านการสื่อสารไทยเบฟฯในปี 2549 วางไว้ 6 ประการด้วยกัน ประการแรก คือ วิสัยทัศน์ขององค์กรกร ทิศทางและกลยุทธ์ ซึ่งจะมีท่านประธานบริษัท คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี และรองประธาน คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี เปิดตัวต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนมากขึ้น ประการที่สอง กิจกรรมสังคมที่จะต้องมีการบอกเล่าเพิ่มขึ้น ประการที่สาม การปรับโครงสร้างใหม่ของบริษัทภายใต้ทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งได้ทำไปเมื่อ 2-3ปีที่ผ่านมา แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้
ประการที่สี่ สื่อสารถึงโครงการใหม่ๆ และประการที่ห้า สื่อสารถึงกิจกรรมต่างๆที่เสริมภาพลักษณ์องค์กร ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมการไว้บ้างแล้ว เช่น ปีนี้เป็นที่ฉลองการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ 60 ปี ทางบริษัทได้เตรียมจัดกิจกรรมประกวดขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ล่าสุดมีเด็กนักเรียนแสดงความจำนงค์มาแล้ว 1 หมื่นคน เป็นต้น
ประการสุดท้าย จับมือกับผู้บริหารสินค้าในเครือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมสังคมเพิ่มขึ้น เช่น ที่ผ่านมาเหล้าสี"แสงโสม"ของเราทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท ทำปะการังเทียมให้ปลาได้มีที่อยู่อาศัย หลังจากเกิดเหตุการคลื่นยักษ์สึนามิ แต่ไม่ได้มีการสื่อสารออกมาให้สาธารณชนได้รับรู้
จากนี้ไปเราจะประชาสัมพันธ์ทั้ง 6 ประการที่กล่าวข้างต้นในเชิงรุกมากขึ้น เพราะการมีภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้ทุกคนเข้าใจในมุมมองที่ถูกต้องมากขึ้น เหมือนสร้างภูมิคุ้มกันให้กับองค์กรไปในตัว ตัวท่านประธานเองก็เห็นด้วยกับจุดเปลี่ยนด้านการสื่อสารองค์กรของไทยเบฟว่า หากจะทำอะไรจะต้องมีความโปร่งใส มีขั้นตอน อธิบายและชี้แจงกับสื่อมวลชนได้
"เรื่องที่เราต้องชี้แจงอย่างเร่งด่วน และต้องทำงานอย่างหนักในปี 2549 คงเป็นเรื่องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้สาธารณชนได้เข้าใจอย่างถูกต้อง หลังจากมีกระแสคัดค้านการเข้าตลาดทรัพย์หลักแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด "
จากนี้ไปภาพเดิมของไทยเบฟฯ ที่สื่อมวลชนและสาธารณชนจะรู้จักผู้บริหารแค่ 3 คน ประกอบด้วย คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี,คุณธนิต ธรรมสุคติ ซึ่งก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา บริษัทเบียร์ไทย 1991 จำกัด ล่าสุดเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทศภาค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านลิขสิทธิ์กีฬา และคุณสมชัย สิทธิกุลพาณิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เกตติ้ง จำกัด (มหาชน) จะไม่มีอีกแล้ว แต่ต่อจากนี้ผู้ที่ดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์ตัวไหน ไม่ว่าจะเป็น แสงโสม แม่โขง มังกรทอง ก็ต้องออกมาแถลงข่าวด้วยตนเองมากขึ้น
นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของบริษัทไทยเบฟฯ เวอเรจ จำกัด (มหาชน)ยักษ์ใหญ่วงการน้ำเมาไทย ที่ไม่เพียงพลิกมิติบทบาทสื่อสารองค์กรใหม่เท่านั้น แต่ด้านการตลาด และทีมผู้บริหารที่ขนคนรุ่นใหม่เข้ามาเสริมทัพอีกเพียบ เป็นการเตรียมทัพก่อนโกอินเตอร์อย่างเต็มรูปแบบ