เมเจอร์ฯ เผยแผนดำเนินธุรกิจปีหน้า ยึด 3 กลยุทธ์หลักในการสร้างแบรนด์ ภายใต้งบตลาด 100 ล้านบาท เล็งเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ทั้งเด็กและกลุ่มผู้ใหญ่อายุ35 ปีขึ้นไป ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโรงภาพยนตร์ 6 ดาวที่สยามพารากอน พร้อมจัดแคมเปญต้อนรับปีใหม่ ระบุตลาดรวมภาพยนตร์ปีนี้ดี เหตุหนังไทยที่ทำรายได้เกินคาด เชื่อปีหน้าดีกว่าปีนี้ เพราะมีหนังดีมาก
นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2549 ของบริษัทฯจะเน้นกลยุทธ์ 3 ประการในการสร้างแบรนด์เมเจอร์ฯ ประกอบด้วย การเรียนรู้หรือเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น , การเพิ่มความถี่ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการหรือมาชมภาพยนตร์ ปัจจุบันเฉลี่ยคนดูหนังเดือนละ 1-2 ครั้ง รวมถึงการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มใหม่อย่างเด็กและคนอายุ 35 ปีขึ้นไปหรือเข้าไปทุกกลุ่มเป้าหมาย จากปัจจุบันที่ลูกค้าหลักของเมเจอร์ฯจะเป็นกลุ่มอายุ 15-35 ปี โดยในปีหน้าบริษัทฯเตรียมใช้งบทางการตลาดใกล้เคียงกับปีนี้ คือ 100 ล้านบาท
ส่วนการขยายสาขาในปีหน้าจะเน้นทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ภายใต้รูปแบบของโรงภาพยนตร์ 4 แบบ ได้แก่ สแตนด์อโลน,ชอปปิ้ง เซ็นเตอร์, ดิสเคาน์สโตร์ และไลฟ์สไตล์ มอลล์ ปัจจุบันเมเจอร์ฯและอีจีวีมีสาขารวมทั้งหมด 30 สาขา โรงภาพยนตร์ 255 โรง และ60,918 ที่นั่ง โดยแบ่งเป็นของเมเจอร์ฯ 19 สาขา 162 โรง 40,818 ที่นั่ง และของอีจีวี 11 สาขา 96 โรง และ 21,010 ที่นั่ง
สำหรับปีนี้บริษัทฯเตรียมเปิดบริการโรงภาพยนตร์สาขาใหม่ระดับ 6 ดาวที่สยามพารากอนในเดือนธันวาคมนี้ ภายใต้การลงทุนของบริษัทฯที่ใช้งบไปประมาณ 800-1,000 ล้านบาท และยังจัดตั้งบริษัทพารากอน ซีเนเพล็กซ์ขึ้นมาบริหารโดยเฉพาะ โดยจะมีโรงภาพยนตร์ 16 โรง และโรงไอแมกซ์ 1 โรง รวม 5พันที่นั่ง ส่วนเลนโบว์ลิ่งมี 40 เลน
“ปีนี้เป็นปีแห่งเซกเมนต์เตชั่น ซึ่งภาพยนตร์ก็แบ่งเป็นเซกเมนต์เตชั่นด้วยเหมือนกัน โดยมีทุกรูปแบบและมีจำนวนวาไลตี้มากขึ้น ซึ่งปีนี้ภาพยนตร์ที่เข้าฉายมีกว่า 250 เรื่อง แบ่งเป็นหนังต่างประเทศกว่า 200 เรื่องและหนังไทย 30-40 เรื่อง ซึ่งถือว่ามากขึ้นหากเทียบกับปีที่แล้วที่มีฉาย 200 เรื่อง”
ล่าสุดบริษัทฯได้จัดงบทางการตลาดกว่า 10 ล้านบาท จัดแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด เพื่อร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่นี้ อาทิ แมสแคมเปญ “มูฟวี่ แจ็คพ็อต” ดูหนังลุ้นรับรางวัลมากกว่า 4 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 48-31 ม.ค. 49 หรือรวมเป็นระยะเวลา 2 เดือน รวมถึงบริษัทฯยังได้ออก “กิฟท์ การ์ด” ในรูปแบบใหม่ที่มีความทันสมัย โดยสามารถใช้บริการได้ทั้งดูภาพยนตร์และโยนโบว์ลิ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญให้คนพิเศษ อีกทั้งเมเจอร์ฯยังได้ทำ “มูฟวี่ คาร์เลนด้า 2006” ปฏิทินพก 4 ลายจากภาพยนตร์ 4 เรื่อง ได้แก่ ไอซ์ เอจ 2 ,เอ็กซ์ เมนส์ 3 เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทฯเตรียมจัดกิจกรรมทางการตลาดให้กับภาพยนตร์ 51 เรื่องที่จะเข้าฉายในเดือนธันวาคมนี้ถึงมกราคม 2549 แบ่งเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ 44 เรื่อง ได้แก่ ชิคเก้น ลิตเติ้ล, คิงคอง,อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย ตอนราชสีห์แม่มดกับตู้พิศวง และอันเดอร์เวิลด์ 2 ส่วนภาพยนตร์ไทยมี 7 เรื่อง เช่น วาไลตี้ผีฉลุย ข้าวเหนียวหมูปิ้ง และไฉไล
สำหรับเดือนธันวาคมนี้บริษัทฯเตรียมจัดกิจกรรมการตลาดให้กับภาพยนตร์ 2 เรื่องดัง คือ คิงคอง ที่มีกำหนดฉายวันที่ 14 ธ.ค.48 และนาร์เนีย เข้าฉาย 29 ธ.ค.48 ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่ม 20%
ผลประกอบการของบริษัทฯในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาพบว่ามีรายได้รวม 1,232 ล้านบาท โดยรายได้แบ่งออกเป็น ธุรกิจภาพยนตร์ 60%, ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ 11% , ธุรกิจโฆษณาในโรงภาพยนตร์ 12% ,ธุรกิจจัดจำหน่ายภาพยนตร์ 10% และธุรกิจให้เช่าพื้นที่ 6% ซึ่งบริษัทฯคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ยอดรายได้จะโตขึ้น 30% และยอดจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ปีนี้คาดว่าจะปิดที่ 20 ล้านใบ ซึ่งมากขึ้นกว่าปีที่แล้วที่มี 15 ล้านใบ
ขณะที่ตลาดรวมของภาพยนตร์ปีนี้มีมูลค่า 4,000 ล้านบาทและมีอัตราการโตกว่า 20% จากการที่ภาพยนตร์ไทยทำรายได้มากขึ้น เช่น แหยมยโสธรทำรายได้ 100 ล้านบาทและต้มยำกุ้งทำรายได้ 200 ล้านบาท โดยเมเจอร์และอีจีวีมีส่วนแบ่งทางการตลาด 70% แบ่งเป็นเมเจอร์ฯ 50% และอีจีวี 20% ขณะที่ปีหน้าคาดการณ์ว่าตลาดรวมจะดีขึ้นกว่าปีนี้ เพราะจะมีภาพยนตร์ดีมาก เช่น ซูเปอร์แมน,ดาวินชี และอันเดอร์เวิลด์ 2
นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2549 ของบริษัทฯจะเน้นกลยุทธ์ 3 ประการในการสร้างแบรนด์เมเจอร์ฯ ประกอบด้วย การเรียนรู้หรือเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น , การเพิ่มความถี่ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการหรือมาชมภาพยนตร์ ปัจจุบันเฉลี่ยคนดูหนังเดือนละ 1-2 ครั้ง รวมถึงการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มใหม่อย่างเด็กและคนอายุ 35 ปีขึ้นไปหรือเข้าไปทุกกลุ่มเป้าหมาย จากปัจจุบันที่ลูกค้าหลักของเมเจอร์ฯจะเป็นกลุ่มอายุ 15-35 ปี โดยในปีหน้าบริษัทฯเตรียมใช้งบทางการตลาดใกล้เคียงกับปีนี้ คือ 100 ล้านบาท
ส่วนการขยายสาขาในปีหน้าจะเน้นทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ภายใต้รูปแบบของโรงภาพยนตร์ 4 แบบ ได้แก่ สแตนด์อโลน,ชอปปิ้ง เซ็นเตอร์, ดิสเคาน์สโตร์ และไลฟ์สไตล์ มอลล์ ปัจจุบันเมเจอร์ฯและอีจีวีมีสาขารวมทั้งหมด 30 สาขา โรงภาพยนตร์ 255 โรง และ60,918 ที่นั่ง โดยแบ่งเป็นของเมเจอร์ฯ 19 สาขา 162 โรง 40,818 ที่นั่ง และของอีจีวี 11 สาขา 96 โรง และ 21,010 ที่นั่ง
สำหรับปีนี้บริษัทฯเตรียมเปิดบริการโรงภาพยนตร์สาขาใหม่ระดับ 6 ดาวที่สยามพารากอนในเดือนธันวาคมนี้ ภายใต้การลงทุนของบริษัทฯที่ใช้งบไปประมาณ 800-1,000 ล้านบาท และยังจัดตั้งบริษัทพารากอน ซีเนเพล็กซ์ขึ้นมาบริหารโดยเฉพาะ โดยจะมีโรงภาพยนตร์ 16 โรง และโรงไอแมกซ์ 1 โรง รวม 5พันที่นั่ง ส่วนเลนโบว์ลิ่งมี 40 เลน
“ปีนี้เป็นปีแห่งเซกเมนต์เตชั่น ซึ่งภาพยนตร์ก็แบ่งเป็นเซกเมนต์เตชั่นด้วยเหมือนกัน โดยมีทุกรูปแบบและมีจำนวนวาไลตี้มากขึ้น ซึ่งปีนี้ภาพยนตร์ที่เข้าฉายมีกว่า 250 เรื่อง แบ่งเป็นหนังต่างประเทศกว่า 200 เรื่องและหนังไทย 30-40 เรื่อง ซึ่งถือว่ามากขึ้นหากเทียบกับปีที่แล้วที่มีฉาย 200 เรื่อง”
ล่าสุดบริษัทฯได้จัดงบทางการตลาดกว่า 10 ล้านบาท จัดแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด เพื่อร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่นี้ อาทิ แมสแคมเปญ “มูฟวี่ แจ็คพ็อต” ดูหนังลุ้นรับรางวัลมากกว่า 4 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 48-31 ม.ค. 49 หรือรวมเป็นระยะเวลา 2 เดือน รวมถึงบริษัทฯยังได้ออก “กิฟท์ การ์ด” ในรูปแบบใหม่ที่มีความทันสมัย โดยสามารถใช้บริการได้ทั้งดูภาพยนตร์และโยนโบว์ลิ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญให้คนพิเศษ อีกทั้งเมเจอร์ฯยังได้ทำ “มูฟวี่ คาร์เลนด้า 2006” ปฏิทินพก 4 ลายจากภาพยนตร์ 4 เรื่อง ได้แก่ ไอซ์ เอจ 2 ,เอ็กซ์ เมนส์ 3 เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทฯเตรียมจัดกิจกรรมทางการตลาดให้กับภาพยนตร์ 51 เรื่องที่จะเข้าฉายในเดือนธันวาคมนี้ถึงมกราคม 2549 แบ่งเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ 44 เรื่อง ได้แก่ ชิคเก้น ลิตเติ้ล, คิงคอง,อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย ตอนราชสีห์แม่มดกับตู้พิศวง และอันเดอร์เวิลด์ 2 ส่วนภาพยนตร์ไทยมี 7 เรื่อง เช่น วาไลตี้ผีฉลุย ข้าวเหนียวหมูปิ้ง และไฉไล
สำหรับเดือนธันวาคมนี้บริษัทฯเตรียมจัดกิจกรรมการตลาดให้กับภาพยนตร์ 2 เรื่องดัง คือ คิงคอง ที่มีกำหนดฉายวันที่ 14 ธ.ค.48 และนาร์เนีย เข้าฉาย 29 ธ.ค.48 ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่ม 20%
ผลประกอบการของบริษัทฯในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาพบว่ามีรายได้รวม 1,232 ล้านบาท โดยรายได้แบ่งออกเป็น ธุรกิจภาพยนตร์ 60%, ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ 11% , ธุรกิจโฆษณาในโรงภาพยนตร์ 12% ,ธุรกิจจัดจำหน่ายภาพยนตร์ 10% และธุรกิจให้เช่าพื้นที่ 6% ซึ่งบริษัทฯคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ยอดรายได้จะโตขึ้น 30% และยอดจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ปีนี้คาดว่าจะปิดที่ 20 ล้านใบ ซึ่งมากขึ้นกว่าปีที่แล้วที่มี 15 ล้านใบ
ขณะที่ตลาดรวมของภาพยนตร์ปีนี้มีมูลค่า 4,000 ล้านบาทและมีอัตราการโตกว่า 20% จากการที่ภาพยนตร์ไทยทำรายได้มากขึ้น เช่น แหยมยโสธรทำรายได้ 100 ล้านบาทและต้มยำกุ้งทำรายได้ 200 ล้านบาท โดยเมเจอร์และอีจีวีมีส่วนแบ่งทางการตลาด 70% แบ่งเป็นเมเจอร์ฯ 50% และอีจีวี 20% ขณะที่ปีหน้าคาดการณ์ว่าตลาดรวมจะดีขึ้นกว่าปีนี้ เพราะจะมีภาพยนตร์ดีมาก เช่น ซูเปอร์แมน,ดาวินชี และอันเดอร์เวิลด์ 2


