ปตท.และกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ลงขันตั้งกองทุนส่งเสริมการใช้ก๊าซเอ็นจีวี ทดแทนน้ำมันโดยเปิดให้ผู้ประกอบการกู้ดอกเบี้ยต่ำ ตั้งเป้าหมายประหยัดน้ำมันได้นับแสนล้านบาทในอนาคต พร้อมเดินหน้าโครงการช่วยเงินให้เปล่าแก่เจ้าของฟีดรถขนส่งร้อยละ 70 ทดลองเปลี่ยนเป็นเครื่องเอ็นจีวี 1-2 คัน/ฟีด
ในงานสัมมนาผู้ประกอบการขนส่งและรถโดยสารขนาดใหญ่ นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท. กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในเช้าวันนี้ กระทรวงพลังงานจะนำเสนอภาพรวมโครงการด้านพลังงานทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนของยุทธศาสตร์พลังงาน 15 ปี และในส่วนของก๊าซเอ็นจีวีนั้น จะเสนอแผนขยายการส่งเสริมการใช้เพื่อทดแทนน้ำมันทั้งดีเซลและเบนซิน ตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2553 จะมีรถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวี 500,500 คัน และมีสถานีเอ็นจีวี 740 สถานี เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีรถเอ็นจีวีเพียง 8,138 คัน และ 39 สถานี ซึ่งคาดหวังว่าจะประหยัดการนำเข้าน้ำมันทั้งดีเซลและเบนซินได้นับแสนล้านบาทต่อปี เป็นผลดีในด้านการลดต้นทุนการขนส่ง และแก้ปัญหาดุลการค้า
นายจิตรพงษ์ กล่าวว่า เป้าหมายหลักจะต้องเร่งส่งเสริมให้รถบรรทุกหันมาใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการต้องการให้รัฐช่วยเหลือด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้น ปตท.ได้หารือกับกระทรวงพลังงาน และเห็นชอบร่วมกันว่า จะจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการใช้เอ็นจีวีวงเงิน 7,000 ล้านบาท โดย ปตท.เป็นผู้ออกเงิน 5,000 ล้านบาท และใช้เงินจากกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน 2,000 ล้านบาท จะเป็นเงินกองทุนหมุนเวียน และให้มีการบริหารผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์ โดยขณะนี้กำลังพิจารณาว่าควรจะใช้สถาบันการเงินใดจึงจะเกิดความคล่องตัวที่สุด
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ปตท.ได้เปิดตัวโครงการส่งเสริมการทดลองใช้เอ็นจีวีสำหรับบริษัทขนส่งหรือฟีดรถต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยในการใช้ ซึ่งจะมีการใช้เงินกองทุนอนุรักษ์ฯ 40 ล้านบาท มาส่งเสริมและเงินของ ปตท.มาส่งเสริม รูปแบบก็คือ จะให้เงินช่วยเหลือเป็นเงินให้เปล่า ร้อยละ 70 หรือไม่เกิน 400,000 บาท/คัน สำหรับรถยนต์เครื่องดีเซล ส่วนเครื่องเบนซินจะให้การช่วยเหลือไม่เกิน 10,000 บาท/คัน แต่จะจำกัดปริมาณรถแต่ละชนิดไม่เกิน 2 คัน/บริษัท
สำหรับเป้าหมายขยายการใช้เอ็นจีวีนั้น ปตท.กำหนดว่า ในปี 2551 จะมีรถใช้เอ็นจีวี 300,000 คัน แบ่งเป็นรถเบนซิน 139,000 คัน ดีเซล 161,000 คัน ทดแทนน้ำมันรวมร้อยละ 12 และมีสถานีเอ็นจีวี 420 สถานี และในปี 2553 จะมีระใช้เอ็นจีวีเพิ่มเป็น 500,500 คัน ทดแทนการใช้น้ำมันรวมร้อยละ 20 แยกเป็นรถเบนซิน 219,000 คัน รถดีเซล 281,500 คัน มีสถานี 740 สถานี
ทางด้านผู้ประกอบการรถยนต์ที่เข้าร่วมสัมมนาต่างต้องการให้ ปตท.เร่งขยายปั๊มเอ็นจีวี และเร่งจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการใช้เอ็นจีวีโดยเร็ว เพราะต้องการกู้เงินในการปรับเปลี่ยนเป็นเอ็นจีวี ที่อย่างน้อยสามารถประหยัดต้นทุนได้ประมาณร้อยละ 20-30
ในงานสัมมนาผู้ประกอบการขนส่งและรถโดยสารขนาดใหญ่ นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท. กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในเช้าวันนี้ กระทรวงพลังงานจะนำเสนอภาพรวมโครงการด้านพลังงานทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนของยุทธศาสตร์พลังงาน 15 ปี และในส่วนของก๊าซเอ็นจีวีนั้น จะเสนอแผนขยายการส่งเสริมการใช้เพื่อทดแทนน้ำมันทั้งดีเซลและเบนซิน ตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2553 จะมีรถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวี 500,500 คัน และมีสถานีเอ็นจีวี 740 สถานี เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีรถเอ็นจีวีเพียง 8,138 คัน และ 39 สถานี ซึ่งคาดหวังว่าจะประหยัดการนำเข้าน้ำมันทั้งดีเซลและเบนซินได้นับแสนล้านบาทต่อปี เป็นผลดีในด้านการลดต้นทุนการขนส่ง และแก้ปัญหาดุลการค้า
นายจิตรพงษ์ กล่าวว่า เป้าหมายหลักจะต้องเร่งส่งเสริมให้รถบรรทุกหันมาใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการต้องการให้รัฐช่วยเหลือด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้น ปตท.ได้หารือกับกระทรวงพลังงาน และเห็นชอบร่วมกันว่า จะจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการใช้เอ็นจีวีวงเงิน 7,000 ล้านบาท โดย ปตท.เป็นผู้ออกเงิน 5,000 ล้านบาท และใช้เงินจากกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน 2,000 ล้านบาท จะเป็นเงินกองทุนหมุนเวียน และให้มีการบริหารผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์ โดยขณะนี้กำลังพิจารณาว่าควรจะใช้สถาบันการเงินใดจึงจะเกิดความคล่องตัวที่สุด
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ปตท.ได้เปิดตัวโครงการส่งเสริมการทดลองใช้เอ็นจีวีสำหรับบริษัทขนส่งหรือฟีดรถต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยในการใช้ ซึ่งจะมีการใช้เงินกองทุนอนุรักษ์ฯ 40 ล้านบาท มาส่งเสริมและเงินของ ปตท.มาส่งเสริม รูปแบบก็คือ จะให้เงินช่วยเหลือเป็นเงินให้เปล่า ร้อยละ 70 หรือไม่เกิน 400,000 บาท/คัน สำหรับรถยนต์เครื่องดีเซล ส่วนเครื่องเบนซินจะให้การช่วยเหลือไม่เกิน 10,000 บาท/คัน แต่จะจำกัดปริมาณรถแต่ละชนิดไม่เกิน 2 คัน/บริษัท
สำหรับเป้าหมายขยายการใช้เอ็นจีวีนั้น ปตท.กำหนดว่า ในปี 2551 จะมีรถใช้เอ็นจีวี 300,000 คัน แบ่งเป็นรถเบนซิน 139,000 คัน ดีเซล 161,000 คัน ทดแทนน้ำมันรวมร้อยละ 12 และมีสถานีเอ็นจีวี 420 สถานี และในปี 2553 จะมีระใช้เอ็นจีวีเพิ่มเป็น 500,500 คัน ทดแทนการใช้น้ำมันรวมร้อยละ 20 แยกเป็นรถเบนซิน 219,000 คัน รถดีเซล 281,500 คัน มีสถานี 740 สถานี
ทางด้านผู้ประกอบการรถยนต์ที่เข้าร่วมสัมมนาต่างต้องการให้ ปตท.เร่งขยายปั๊มเอ็นจีวี และเร่งจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการใช้เอ็นจีวีโดยเร็ว เพราะต้องการกู้เงินในการปรับเปลี่ยนเป็นเอ็นจีวี ที่อย่างน้อยสามารถประหยัดต้นทุนได้ประมาณร้อยละ 20-30