“เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์” ตั้งทีมเฉพาะกิจ “Force One” รองรับการขยายตัว “พิซซ่า ทูเดย์ กรุ๊ป” บริษัทแม่เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ปี 2550 มั่นใจผลักดันบริษัทโตขึ้น 5-10 % พร้อมเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ ตั้งเป้าทำรายได้จากหนังสือเพิ่มขึ้น 10%
นายศุภกิจ รุ่งโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์ จำกัด (The Power of Change) เปิดเผยว่า ได้วางแผนรองรับการขยายตัวของบริษัทฯ ในอนาคต และสร้างความแข็งแกร่งการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งรองรับการเติบโตของบริษัท พิซซ่า ทูเดย์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2550 จึงได้คัดเลือกพนักงานระดับบริหารของบริษัทฯ และบุคลากรที่มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาดูแลรับผิดชอบงานบริษัทฯ เพิ่มขึ้น ตั้งชื่อทีมงานชุดนี้ว่า “Force One” ด้วยจำนวนทั้งสิ้น 11 คน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญผลักดันให้บริษัทฯ และบริษัทในเครือพิซซ่า ทูเดย์ กรุ๊ป จำกัด มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 5-10%
ในช่วงแรกวางแผนให้ทีม Force One เข้ามาดูแลและรับผิดชอบงานของบริษัท เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์ เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมงานสัมมนา The Power of Change ซึ่งได้ร่วมมือกับ 3 พันธมิตร ได้แก่ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด บริษัท สยามรวมน้ำใจ จำกัด และบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ใช้งบการตลาดทั้งสิ้นประมาณ 10 ล้านบาท โดยงานสัมมนาดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน ศกนี้ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี จำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 10,000 คน ขายบัตรได้แล้ว 70% จากนั้นทีม Force One จะเข้าไปดูแลรับผิดชอบงานในบริษัทต่างๆ ในเครือพิซซ่า ทูเดย์กรุ๊ป เพื่อให้การทำงานขององค์กรมีประสิทธิภาพสูงสุด และคาดว่าบริษัทฯ จะมีการปรับโครงสร้างบริหารอีกครั้งประมาณกลางปี 2549
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในขณะนี้ได้มีการเปิดตัวหนังสือบริหารเล่มใหม่ชื่อ “คิด พูด ทำ รวย โดยศุภกิจ รุ่งโรจน์” เริ่มวางจำหน่ายไปเมื่อประมาณกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายหนังสือเพิ่มขึ้นจากเดิม 5-10%
“หนังสือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่บริษัทฯ มีโครงการขยายงานอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่องทางตลาดที่สามารถเติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจทอล์คโชว์ปลุกพลังความคิดได้ ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าจะทำรายได้จากธุรกิจทอล์คโชว์ฯ ประมาณ 30-35 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2549 เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้ในปัจจุบันยังไม่มีคู่แข่ง รวมทั้งมีโอกาสและช่องว่างตลาดอีกมาก ซึ่งในช่วง 2 ปีที่แล้วบริษัทได้ทดลองทำตลาดและประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถทำรายได้ประมาณ 35 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 100%” นายศุภกิจกล่าว
ส่วนธุรกิจเมอชั่นไดซิ่งที่จะเข้าไปทำตลาดและเริ่มได้ในปี 2550 โดยจำหน่ายเป็นเสื้อ หนังสือ ตลับเทป วิดีโอ ดีวีดี และซีวีดี รวมถึงสินค้าพรีเมียมต่างๆ ในนาม “เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์” ตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโตทางด้านรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปีที่แล้วทำรายได้ให้กับบริษัททั้งสิ้นประมาณ 5% ของรายได้รวมทั้งหมด
นายศุภกิจ รุ่งโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์ จำกัด (The Power of Change) เปิดเผยว่า ได้วางแผนรองรับการขยายตัวของบริษัทฯ ในอนาคต และสร้างความแข็งแกร่งการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งรองรับการเติบโตของบริษัท พิซซ่า ทูเดย์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2550 จึงได้คัดเลือกพนักงานระดับบริหารของบริษัทฯ และบุคลากรที่มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาดูแลรับผิดชอบงานบริษัทฯ เพิ่มขึ้น ตั้งชื่อทีมงานชุดนี้ว่า “Force One” ด้วยจำนวนทั้งสิ้น 11 คน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญผลักดันให้บริษัทฯ และบริษัทในเครือพิซซ่า ทูเดย์ กรุ๊ป จำกัด มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 5-10%
ในช่วงแรกวางแผนให้ทีม Force One เข้ามาดูแลและรับผิดชอบงานของบริษัท เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์ เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมงานสัมมนา The Power of Change ซึ่งได้ร่วมมือกับ 3 พันธมิตร ได้แก่ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด บริษัท สยามรวมน้ำใจ จำกัด และบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ใช้งบการตลาดทั้งสิ้นประมาณ 10 ล้านบาท โดยงานสัมมนาดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน ศกนี้ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี จำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 10,000 คน ขายบัตรได้แล้ว 70% จากนั้นทีม Force One จะเข้าไปดูแลรับผิดชอบงานในบริษัทต่างๆ ในเครือพิซซ่า ทูเดย์กรุ๊ป เพื่อให้การทำงานขององค์กรมีประสิทธิภาพสูงสุด และคาดว่าบริษัทฯ จะมีการปรับโครงสร้างบริหารอีกครั้งประมาณกลางปี 2549
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในขณะนี้ได้มีการเปิดตัวหนังสือบริหารเล่มใหม่ชื่อ “คิด พูด ทำ รวย โดยศุภกิจ รุ่งโรจน์” เริ่มวางจำหน่ายไปเมื่อประมาณกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายหนังสือเพิ่มขึ้นจากเดิม 5-10%
“หนังสือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่บริษัทฯ มีโครงการขยายงานอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่องทางตลาดที่สามารถเติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจทอล์คโชว์ปลุกพลังความคิดได้ ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าจะทำรายได้จากธุรกิจทอล์คโชว์ฯ ประมาณ 30-35 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2549 เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้ในปัจจุบันยังไม่มีคู่แข่ง รวมทั้งมีโอกาสและช่องว่างตลาดอีกมาก ซึ่งในช่วง 2 ปีที่แล้วบริษัทได้ทดลองทำตลาดและประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถทำรายได้ประมาณ 35 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 100%” นายศุภกิจกล่าว
ส่วนธุรกิจเมอชั่นไดซิ่งที่จะเข้าไปทำตลาดและเริ่มได้ในปี 2550 โดยจำหน่ายเป็นเสื้อ หนังสือ ตลับเทป วิดีโอ ดีวีดี และซีวีดี รวมถึงสินค้าพรีเมียมต่างๆ ในนาม “เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์” ตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโตทางด้านรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปีที่แล้วทำรายได้ให้กับบริษัททั้งสิ้นประมาณ 5% ของรายได้รวมทั้งหมด