“พีเจ้น” ชี้ตลาดผลิตภัณฑ์เด็ก จุกนม ขวดนม สู่ยุคแข่งเดือด เหตุตลาดไม่โต เด็กเกิดน้อยลง ซุ่มแผนเปิดชอปอีกครั้งในอนาคต ผนึกทอย์ อาร์ อัส วางสินค้าขายทุกสาขา ตามแผนบุกสเปเชียลตี้สโตร์ โยกฐานผลิตจุกนมจากญี่ปุ่นสู่ไทยเป็นฐานส่งออกหลัก
นายเมธิน เลิศสุมิตรกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พีเจ้น กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ในปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอ่อน (ขวดนม จุกนม ) มีการแข่งขันที่รุนแรงมาก เนื่องมาจากมีแบรนด์ที่เกิดขึ้นจำนวนมากทั้งจากต่างประเทศและที่ผลิตในประเทศเข้ามาทำการตลาดรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์ ส่งผลให้เกิดสงครามราคา อีกทั้งยังเป็นผลมาจากปริมาณการเกิดของทารก ที่ลดน้อยลงด้วยเฉลี่ย 6 แสนกว่าคนต่อปี และครอบครัวรุ่นใหม่นิยมการมีบุตรแค่ 1-2 คนเท่านั้น จึงทำให้ตลาดรวมไม่เติบโตเท่าที่ควร แตกต่างจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ตลาดยังแข่งขันไม่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดระดับแมส
ขณะเดียวกันการแข่งขันในช่องทางการจำหน่ายก็มีสูงด้วยเช่นกัน ผู้ประกอบการจึงต้องพยายามที่จะมองหาช่องทางจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางที่เป็นนิชมาร์เก็ตหรือ สเปเชียลตี้สโตร์ ซึ่งมีแนวโน้มอย่างมาก ว่าในอนาคตสินค้าประเภทนี้จะมีการขยายช่องทางจำหน่ายเป็นรูปแบบสเปเชียลตี้สโตร์มากขึ้นเหมือนในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวไม่กระทบกับการดำเนินงานของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯมีนโยบายชัดเจนที่จะพัฒนาและยกระดับภาพลักษณ์ของพีเจ้นให้เป็นแบรนด์ระดับซูเปอร์พรีเมี่ยม ไม่เน้นเรื่องราคาขาย แต่จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และคุณภาพเป็นหลัก ซึ่งได้ดำเนินงานมาตลอด อีกทั้งยังใช้กลยุทธ์การต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวผลิตภัณฑ์อีกด้วย
“จากนี้ไปผู้ประกอบการในตลาดแมสจะทำตลาดยากมากขึ้น เพราะว่าตลาดมันเล็กมาก และมีแนวโน้มที่จะหดตัวลงเรื่อยๆ อีกทั้งต้นทุนสินค้าก็ขยับขึ้นมาตลอด เช่น พลาสติก ขึ้นกว่า 40% แล้ว เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะทำกำไรก็ยากขึ้น แต่หากจะขยับขึ้นไปสู่ระดับบนก็ยาก เพราะด้วยภาพลักษณ์ของสินค้าที่ผ่านมาเน้นเรื่องราคาเป็นหลัก ส่วนพีเจ้นนั้นชัดเจนในเรื่องของกลุ่มเป้าหมาย ที่เป็นระดับบนมาตลอด และเราขาย ฟังก์ชันนัล (Functional)ไม่ใช่ขาย อีโมชันนัล (Emotional)” นายเมธินกล่าว
ส่วนแผนการต่อยอดผลิตภัณฑ์นั้นคือ การขยายฐานกลุ่มผู้ใช้ให้มากขึ้น นอกเหนือจากเด็ก เช่นที่เริ่มทำแล้วคือ ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวหรือ เบบี้ไวพส์ ซึ่งเดิมตลาดกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก สำหรับใช้ในการทำความสะอาดผิวเด็ก แต่บริษัทฯได้เริ่มขยายไปยังกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่นหญิงมากขึ้นว่าสามารถนำมาเช็ดหน้าเพื่อทำความสะอาดจากเครื่องสำอางได้ พร้อมเปิดช่องทางจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สะดวกต่อการซื้อใช้ และปีนี้ได้แจกผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มเป้าหมายใหม่กว่า 1 ล้านชิ้น ทำให้ยอดขายปีนี้โตกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่ จากเดิมโตแค่ 3% และการเติบโตในช่องทางร้านเซเว่นฯนี้มีสัดส่วน 50% จาก 20%
บริษัทฯมีความคิดที่จะเปิดร้านแบบสเปเชียลตี้ สโตร์ขึ้นในอนาคต หลังจากที่เคยเปิดมาแต่ได้เลิกไปแล้ว เพราะยังไม่เหมาะกับในสถานการณ์เวลานั้น 2 สาขาคือที่ ซีคอนสแควร์และ เซ็นทรัลบางนา ชื่อว่าร้านแองเจิล เบบี้ ล่าสุดสรุปการเจรจากับทางร้านขายของเล่น ทอยส์ อาร์ อัส ในการนำสินค้าของพีเจ้นเข้าไปจำหน่าย โดยมีพื้นที่วางสินค้ามากที่สุดประมาณ 3 เชลฟ์ เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นในสินค้ากลุ่มเดียวกัน
สำหรับแผนการลงทุนนั้น นายเมธินกล่าวว่า จะใช้เงิน 50 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตจุกนมและขวดนม อีก 1 โรงงานที่สมุทรปราการ อยู่ในพื้นที่โรงงานเดิม คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ต้นปีหน้า มีกำลังผลิตเพิ่มเป็น 55 ล้านจุกต่อปี จากเดิม 30 ล้านจุกต่อปี และจะใช้ไทยเป็นฐานผลิตแทนฐานผลิตที่ญี่ปุ่นในการส่งออกต่างประเทศมากกว่า 60% ตลาดหลักคือ ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง 5 ประเทศและสิงคโปร์ ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ไต้หวัน เกาหลี มาเลเซีย และจำหน่ายในไทย 40%
ปัจจุบันมูลค่าตลาดจุกนม และขวดนมเด็ก มีมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท โดยพีเจ้นเป็นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่งมากกว่า 51% ในระดับพรีเมี่ยม แต่หากรวมกลุ่มสินค้าที่เป็นระดับแมสเข้าไปในตลาดรวมด้วยนั้นซึ่งมีอยู่ประมาณ 38% ในตลาด 600 ล้านบาทนี้ พีเจ้นจะมีส่วนแบ่งประมาณ 30%
นายเมธิน เลิศสุมิตรกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พีเจ้น กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ในปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอ่อน (ขวดนม จุกนม ) มีการแข่งขันที่รุนแรงมาก เนื่องมาจากมีแบรนด์ที่เกิดขึ้นจำนวนมากทั้งจากต่างประเทศและที่ผลิตในประเทศเข้ามาทำการตลาดรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์ ส่งผลให้เกิดสงครามราคา อีกทั้งยังเป็นผลมาจากปริมาณการเกิดของทารก ที่ลดน้อยลงด้วยเฉลี่ย 6 แสนกว่าคนต่อปี และครอบครัวรุ่นใหม่นิยมการมีบุตรแค่ 1-2 คนเท่านั้น จึงทำให้ตลาดรวมไม่เติบโตเท่าที่ควร แตกต่างจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ตลาดยังแข่งขันไม่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดระดับแมส
ขณะเดียวกันการแข่งขันในช่องทางการจำหน่ายก็มีสูงด้วยเช่นกัน ผู้ประกอบการจึงต้องพยายามที่จะมองหาช่องทางจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางที่เป็นนิชมาร์เก็ตหรือ สเปเชียลตี้สโตร์ ซึ่งมีแนวโน้มอย่างมาก ว่าในอนาคตสินค้าประเภทนี้จะมีการขยายช่องทางจำหน่ายเป็นรูปแบบสเปเชียลตี้สโตร์มากขึ้นเหมือนในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวไม่กระทบกับการดำเนินงานของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯมีนโยบายชัดเจนที่จะพัฒนาและยกระดับภาพลักษณ์ของพีเจ้นให้เป็นแบรนด์ระดับซูเปอร์พรีเมี่ยม ไม่เน้นเรื่องราคาขาย แต่จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และคุณภาพเป็นหลัก ซึ่งได้ดำเนินงานมาตลอด อีกทั้งยังใช้กลยุทธ์การต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวผลิตภัณฑ์อีกด้วย
“จากนี้ไปผู้ประกอบการในตลาดแมสจะทำตลาดยากมากขึ้น เพราะว่าตลาดมันเล็กมาก และมีแนวโน้มที่จะหดตัวลงเรื่อยๆ อีกทั้งต้นทุนสินค้าก็ขยับขึ้นมาตลอด เช่น พลาสติก ขึ้นกว่า 40% แล้ว เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะทำกำไรก็ยากขึ้น แต่หากจะขยับขึ้นไปสู่ระดับบนก็ยาก เพราะด้วยภาพลักษณ์ของสินค้าที่ผ่านมาเน้นเรื่องราคาเป็นหลัก ส่วนพีเจ้นนั้นชัดเจนในเรื่องของกลุ่มเป้าหมาย ที่เป็นระดับบนมาตลอด และเราขาย ฟังก์ชันนัล (Functional)ไม่ใช่ขาย อีโมชันนัล (Emotional)” นายเมธินกล่าว
ส่วนแผนการต่อยอดผลิตภัณฑ์นั้นคือ การขยายฐานกลุ่มผู้ใช้ให้มากขึ้น นอกเหนือจากเด็ก เช่นที่เริ่มทำแล้วคือ ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวหรือ เบบี้ไวพส์ ซึ่งเดิมตลาดกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก สำหรับใช้ในการทำความสะอาดผิวเด็ก แต่บริษัทฯได้เริ่มขยายไปยังกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่นหญิงมากขึ้นว่าสามารถนำมาเช็ดหน้าเพื่อทำความสะอาดจากเครื่องสำอางได้ พร้อมเปิดช่องทางจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สะดวกต่อการซื้อใช้ และปีนี้ได้แจกผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มเป้าหมายใหม่กว่า 1 ล้านชิ้น ทำให้ยอดขายปีนี้โตกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่ จากเดิมโตแค่ 3% และการเติบโตในช่องทางร้านเซเว่นฯนี้มีสัดส่วน 50% จาก 20%
บริษัทฯมีความคิดที่จะเปิดร้านแบบสเปเชียลตี้ สโตร์ขึ้นในอนาคต หลังจากที่เคยเปิดมาแต่ได้เลิกไปแล้ว เพราะยังไม่เหมาะกับในสถานการณ์เวลานั้น 2 สาขาคือที่ ซีคอนสแควร์และ เซ็นทรัลบางนา ชื่อว่าร้านแองเจิล เบบี้ ล่าสุดสรุปการเจรจากับทางร้านขายของเล่น ทอยส์ อาร์ อัส ในการนำสินค้าของพีเจ้นเข้าไปจำหน่าย โดยมีพื้นที่วางสินค้ามากที่สุดประมาณ 3 เชลฟ์ เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นในสินค้ากลุ่มเดียวกัน
สำหรับแผนการลงทุนนั้น นายเมธินกล่าวว่า จะใช้เงิน 50 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตจุกนมและขวดนม อีก 1 โรงงานที่สมุทรปราการ อยู่ในพื้นที่โรงงานเดิม คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ต้นปีหน้า มีกำลังผลิตเพิ่มเป็น 55 ล้านจุกต่อปี จากเดิม 30 ล้านจุกต่อปี และจะใช้ไทยเป็นฐานผลิตแทนฐานผลิตที่ญี่ปุ่นในการส่งออกต่างประเทศมากกว่า 60% ตลาดหลักคือ ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง 5 ประเทศและสิงคโปร์ ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ไต้หวัน เกาหลี มาเลเซีย และจำหน่ายในไทย 40%
ปัจจุบันมูลค่าตลาดจุกนม และขวดนมเด็ก มีมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท โดยพีเจ้นเป็นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่งมากกว่า 51% ในระดับพรีเมี่ยม แต่หากรวมกลุ่มสินค้าที่เป็นระดับแมสเข้าไปในตลาดรวมด้วยนั้นซึ่งมีอยู่ประมาณ 38% ในตลาด 600 ล้านบาทนี้ พีเจ้นจะมีส่วนแบ่งประมาณ 30%