xs
xsm
sm
md
lg

“ตะติยะ ซอโสตถิกุล”11ปีซีคอนสแควร์จะหมดหนี้ปีนี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ใครที่มีอายุขึ้นเลข 3 นำหน้า เมื่อ 11 ปีก่อน คงไม่ปฎิเสธที่จะตื่นเต้นกับการเปิดตัวของศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในย่านเอเชียแซิฟิกในนาม “ซีคอน สแควร์” ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนถนนศรีนครินทร์ ภายใต้การดำเนินงานของตระกูล “ซอโสตถิกุล” โดยลูกชายคนโตที่ชื่อ “ตะติยะ ซอโสตถิกุล” กุมบังเหียนอยู่

“ตะติยะ ซอโสตถิกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ซีคอนเมื่อ 11 ปีก่อน ถือว่าเป็นศูนย์การค้าที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการค้าปลีกเมืองไทยในขณะนั้นเป็นอย่างมาก เพราะเป็นศูนย์การค้าที่มีพื้นที่ค้าปลีกกว้างใหญ่ถึง 200,000 ตารางเมตร  ยังไม่รวมพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่จอดรถที่รวมกันแล้วอีกกว่า 300,000 ตารางเมตร  ในขณะนั้นเราลงทุนใช้เงินก่อสร้างไปทั้งสิ้น เกือบ 2,000 ล้านบาท  โดยใช้งบประมาณถึง 60 ล้านบาท  เพื่อสำหรับเปิดตัว “ซีคอน สแควร์” อย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี

“ผมให้ความสำคัญกับการเปิดตัวครั้งแรกมาก ตอนนั้นจำได้ว่า ที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ ได้เสนอแผนการใช้งบเปิดตัวศูนย์มา 2 รูปแบบ ใช้งบต่างกัน คือ 30 กับ 60 ล้านบาท ผมเลือกแผน 60 ล้านบาท เพราะมองว่า ศูนย์การค้าเป็นธุรกิจที่ต้องเปิดตัวให้แรงและติดตลาดทันทีตั้งแต่ต้น มิฉะนั้นจะดิ่งลงแบบกู่ไม่กลับ ตอนนั้นเราคำนวณจากไฟแนนซ์ของเรา  แล้วมาบวกกับหลักการตลาด จึงได้ข้อสรุปที่ลงตัวคือต้องเปิดตัวให้แรงสุดๆ จึงจะเอาอยู่ และผมก็มั่นใจในแนวคิดนี้จึงกล้าที่จะลงทุน ซึ่งก็สมความตั้งใจซีคอนสามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้  แม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เราก็มีรายได้พอผ่อนใช้หนี้สินมาตลอด จนถึงปีนี้ เป็นปีที่ 11 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่เราจะหมดหนี้ และกำลังจะก้าวต่อไปสู่ธุรกิจอื่นๆที่เรามีความชำนาญ”

การทำงานของซีคอน นโยบายหลักที่ยึดถือมาตลอด คือการคิดค้นกิจกรรมใหม่ๆ หมุนเวียนตลอดทั้งปี  เป็นการสร้างสีสันให้คนเข้ามาเดินศูนย์การค้าแล้วไม่เบื่อ แม้มาเดินซ้ำในทุกสัปดาห์ก็ตาม เราต้องทำห้างให้ต่างจากตลาดนัด หรือตลาดสดอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้แม้ว่า ซีคอนสแควร์ประสบความสำเร็จแล้ว แต่เราจะยังไม่หยุดนิ่ง ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  ทั้งการปรับปรุงพื้นที่ มองหาสินค้าใหม่ๆ ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า เพราะเป้าหมายหลักของเราคือสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า

สำหรับทิศทางของธุรกิจค้าปลีกปีหน้า  มองว่า จะมีความคึกคักกว่าทุกปี โดยเฉพาะในพื้นที่รอบในของกรุงเทพ ที่จะมีศูนย์การค้าเกิดใหม่ อย่าง สยามพารากอน  ทำให้ศูนย์การค้าใกล้เคียงต้องแอคทีฟ และจะนำแผนการตลาดในรูปแบบเซลโปรโมชั่นกลับมาใช้กันมากขึ้น ขณะที่ย่านชานเมือง ยังไม่มีอะไรหวือหวามากนัก ส่วนกฎหมายผังเมืองที่จะมีผลบังคับใช้ปีหน้า จะทำให้การเกิดขึ้นของห้างขนาดใหญ่ คงเป็นไปได้ยากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น