ตลาดรถเช่าแข่งขันราคาหนัก บัดเจ็ท ย้ำแม้แข่งราคาเน้นบริการเป็นหลัก ประเมินตลาดรวมมูลค่า 12,000 ล้านบาท ปีหน้าเตรียมลุยหนักเพิ่มปริมาณรถ ทุ่มงบรองรับกว่า 200 ล้านบาท เตรียมเล็งขยายตลาดกลุ่มใหม่ๆเพิ่มพร้อมขยายบริการหลากหลาย
นายรณชัย จินวัฒนาภรณ์ กรรมการบริหาร และนายวันชัย ตั้งพานิชดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์คลาส เรนท์ อะคาร์ จำกัด ผู้ให้บริการรถเช่าบัดเจ็ท (Budget) ร่วมกันเปิดเผยว่า สถานการณ์ของตลาดรถเช่าในไทยในปัจจุบันนี้มีการแข่งขันทางด้านราคาของบริษัทรถเช่าที่เกิดขึ้นมาใหม่และที่เป็นรายย่อย ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างราคาของตลาดผันผวน ซึ่งมีหลายรายที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปและไม่สามารถบริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องโดยที่บริษัทฯเองไม่เน้นเรื่องการแข่งขันด้านราคา แต่เน้นด้านการขยายงานและบริการเป็นหลัก แต่ยอมรับว่าราคาบริการของบริษัทฯจะแพงกว่าของผู้ให้บริการโลคอลประมาณ 10%
ทั้งนี้ตลาดรวมรถเช่าในไทยมีประมาณ 12,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% มีผู้ประกอบการประมาณ 70 กว่าราย มีปริมาณรถเช่ารวม 80,000 กว่าคัน โดยในจำนวนนี้มีผู้ประกอบการที่เป็นอินเตอร์แบรนด์ประมาณ 3-4 ราย เช่น บัดเจ็ท ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดมีจำนวนรถกว่า 1,600 คัน , เอลวิส, เฮิร์ตซ์ เป็นต้น โดยตลาดนั้นจะแบ่งเป็นสองประเภทหลักคือ เช่าระยะสั้น (1 วัน-5 เดือน) และระยะยาว ( ตั้งแต่ 6-48 เดือน)
สำหรับแผนกรตลาดของบริษัทฯในปีหน้า คาดว่าจะเพิ่มปริมาณรถอีกประมาณ 100 กว่าคัน รวมเป็น 1,700 คัน และตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 500 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 450 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2547 ที่มีรายได้รวมประมาณ 404 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรถเช่าระยะสั้นและระยะยาวเท่ากัน 50% ส่วนประเภทรถบริการของบริษัทฯนั้นจะมีรถตู้ 10% รถกระบะ 15% ที่เหลือเป็นรถซีดาน และอื่นๆ
ส่วนการขยายสาขานั้นคาดว่าคงจะมีไม่มากแล้ว เนื่องจากปัจจุบันมีมากถึง 22 สาขา กระจายครอบคลุม ทั่วประเทศสามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งลูกค้ายังสามารถคืนรถต่างสาขาได้ด้วย โดยมีสาขาที่ กรุงเทพฯ 3 แห่งคือ ดอนเมือง อาร์ซีเอ พระรามสี่ ภูเก็ต 3 สาขา, เชียงใหม่, เชียงราย, พิษณุโลก, อุดรธานี, อุบลราชธานี, พัทยา , หัวหิน เป็นต้น
นอกจากนี้จะมีการเพิ่มบริการใหม่ๆเช่น บริการรถเช่าพร้อมคนขับรถกับลูกค้าทั่วไป จากเดิมที่บริการกับองค์กร โดยในเบื้องต้นจะเปิดให้บริการในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเช่น กรุงเทพฯ พัทยา ระยอง สมุย ภูเก็ต รวมทั้งจะมีการปรับเปลี่ยนจำนวนรถยนต์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของลูกค้า ซึ่งขณะนี้มีความต้องการรถรุ่นเล็กและนิยมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก บริษัทฯจึงได้เสริมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้มากขึ้นเช่น เครื่องเล่นซีดี ระบบเบรค เอบีเอส ถุงลมนิรภัย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าบริษัทฯจะเป็นผู้นำตลาดในประเภทระยะสั้นอยู่แล้วแต่ก็ยังมีแผนที่จะบุกหนักในปีหน้าควบคู่ไปกับตลาดระยะยาวด้วย รวมไปถึงตลาดระดับบน ที่จะมีรถยนต์รุ่นต่างๆไว้คอยบริการหลายรุ่นเช่น ออดี้เอ 6 โฟลค์สวาเกนคาราเวล โตโยต้าเอสติมา พร้อมกันนี้ยังมีแผนที่จะติดตั้งระบบจีพีเอสหรือระบบนำทางด้วยสัญญาณดาวเทียมในรถระดับหรูทุกคันและมีชุดกอล์ฟสำหรับลูกค้าที่มีความประสงค์จะออกรอบซึ่งมีเฉพาะที่บัดเจ็ทที่เดียว ส่วนตลาดของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นก็เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจที่บริษัทฯจะขยายการบริการเข้าไปด้วย
นายวันชัยกล่าวด้วยว่า เงินลงทุนของบริษัทฯมีพร้อมเนื่องจากว่ามีสถาบันการเงินที่คอยสนับสนุนมากกว่า 10 แห่ง และคาดว่าคงต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทในปีหน้าในการลงทุนต่างๆ ปัจจุบันบริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 380 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้น 5 รายประกอบด้วย บัดเจ็ท ไอซีซี ไทยธนาคาร ดุสิตธานี ยนตรกิจ
นายรณชัย จินวัฒนาภรณ์ กรรมการบริหาร และนายวันชัย ตั้งพานิชดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์คลาส เรนท์ อะคาร์ จำกัด ผู้ให้บริการรถเช่าบัดเจ็ท (Budget) ร่วมกันเปิดเผยว่า สถานการณ์ของตลาดรถเช่าในไทยในปัจจุบันนี้มีการแข่งขันทางด้านราคาของบริษัทรถเช่าที่เกิดขึ้นมาใหม่และที่เป็นรายย่อย ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างราคาของตลาดผันผวน ซึ่งมีหลายรายที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปและไม่สามารถบริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องโดยที่บริษัทฯเองไม่เน้นเรื่องการแข่งขันด้านราคา แต่เน้นด้านการขยายงานและบริการเป็นหลัก แต่ยอมรับว่าราคาบริการของบริษัทฯจะแพงกว่าของผู้ให้บริการโลคอลประมาณ 10%
ทั้งนี้ตลาดรวมรถเช่าในไทยมีประมาณ 12,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% มีผู้ประกอบการประมาณ 70 กว่าราย มีปริมาณรถเช่ารวม 80,000 กว่าคัน โดยในจำนวนนี้มีผู้ประกอบการที่เป็นอินเตอร์แบรนด์ประมาณ 3-4 ราย เช่น บัดเจ็ท ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดมีจำนวนรถกว่า 1,600 คัน , เอลวิส, เฮิร์ตซ์ เป็นต้น โดยตลาดนั้นจะแบ่งเป็นสองประเภทหลักคือ เช่าระยะสั้น (1 วัน-5 เดือน) และระยะยาว ( ตั้งแต่ 6-48 เดือน)
สำหรับแผนกรตลาดของบริษัทฯในปีหน้า คาดว่าจะเพิ่มปริมาณรถอีกประมาณ 100 กว่าคัน รวมเป็น 1,700 คัน และตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 500 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 450 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2547 ที่มีรายได้รวมประมาณ 404 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรถเช่าระยะสั้นและระยะยาวเท่ากัน 50% ส่วนประเภทรถบริการของบริษัทฯนั้นจะมีรถตู้ 10% รถกระบะ 15% ที่เหลือเป็นรถซีดาน และอื่นๆ
ส่วนการขยายสาขานั้นคาดว่าคงจะมีไม่มากแล้ว เนื่องจากปัจจุบันมีมากถึง 22 สาขา กระจายครอบคลุม ทั่วประเทศสามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งลูกค้ายังสามารถคืนรถต่างสาขาได้ด้วย โดยมีสาขาที่ กรุงเทพฯ 3 แห่งคือ ดอนเมือง อาร์ซีเอ พระรามสี่ ภูเก็ต 3 สาขา, เชียงใหม่, เชียงราย, พิษณุโลก, อุดรธานี, อุบลราชธานี, พัทยา , หัวหิน เป็นต้น
นอกจากนี้จะมีการเพิ่มบริการใหม่ๆเช่น บริการรถเช่าพร้อมคนขับรถกับลูกค้าทั่วไป จากเดิมที่บริการกับองค์กร โดยในเบื้องต้นจะเปิดให้บริการในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเช่น กรุงเทพฯ พัทยา ระยอง สมุย ภูเก็ต รวมทั้งจะมีการปรับเปลี่ยนจำนวนรถยนต์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของลูกค้า ซึ่งขณะนี้มีความต้องการรถรุ่นเล็กและนิยมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก บริษัทฯจึงได้เสริมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้มากขึ้นเช่น เครื่องเล่นซีดี ระบบเบรค เอบีเอส ถุงลมนิรภัย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าบริษัทฯจะเป็นผู้นำตลาดในประเภทระยะสั้นอยู่แล้วแต่ก็ยังมีแผนที่จะบุกหนักในปีหน้าควบคู่ไปกับตลาดระยะยาวด้วย รวมไปถึงตลาดระดับบน ที่จะมีรถยนต์รุ่นต่างๆไว้คอยบริการหลายรุ่นเช่น ออดี้เอ 6 โฟลค์สวาเกนคาราเวล โตโยต้าเอสติมา พร้อมกันนี้ยังมีแผนที่จะติดตั้งระบบจีพีเอสหรือระบบนำทางด้วยสัญญาณดาวเทียมในรถระดับหรูทุกคันและมีชุดกอล์ฟสำหรับลูกค้าที่มีความประสงค์จะออกรอบซึ่งมีเฉพาะที่บัดเจ็ทที่เดียว ส่วนตลาดของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นก็เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจที่บริษัทฯจะขยายการบริการเข้าไปด้วย
นายวันชัยกล่าวด้วยว่า เงินลงทุนของบริษัทฯมีพร้อมเนื่องจากว่ามีสถาบันการเงินที่คอยสนับสนุนมากกว่า 10 แห่ง และคาดว่าคงต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทในปีหน้าในการลงทุนต่างๆ ปัจจุบันบริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 380 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้น 5 รายประกอบด้วย บัดเจ็ท ไอซีซี ไทยธนาคาร ดุสิตธานี ยนตรกิจ