ผู้บริหารเอสซี แอสเสทฯคาดทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียมราคาถูก จะกลับมาครองตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายจนถึงต้นปีหน้า โดยเจ้าพ่อในธุรกิจอสังหาฯ ที่เคยโด่งดังในอดีตจะกลับมา ย้ำตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้อยู่ในช่วงขาลง แต่อยู่ในช่วงปรับตัว พร้อมยืนยันเป้าหมายยอดขายเดิมที่ 1,000 ล้านบาท
นายสหัส ตันติคุณ กรรมาการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2548 เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ทั้งความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยและปริมาณที่อยู่อาศัย แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้อยู่ในขาลง เป็นการปรับตัวตามสภาพตลาดและยังไม่เกิดสัญญาณฟองสบู่ โดยดูจากตัวเลขความต้องการสินเชื่อบ้านลดลงประมาณร้อยละ 7 ในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา และปริมาณที่อยู่อาศัยออกสู่ตลาดลดลงจากสถิติการขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารแนวราบลดลง แต่สถิติการขอใบอนุญาตบ้านจัดสรรและก่อสร้างอาคารสูงยังเติบโตอยู่
นายสหัส กล่าวว่า สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายจนถึงต้นปีหน้า บ้าน ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ระดับราคาต่ำได้รับความสนใจมากที่สุด โดยกลุ่มผู้ซื้อจะมีรายได้อยู่ประมาณ 8,000-15,000 บาทต่อเดือน ระดับราคาที่อยู่อาศัยทาวน์เฮาส์ ประมาณ 700,000-800,000 บาท คอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 500,000 บาท จะเกิดมากขึ้น โดยผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมราคาถูกที่เคยมีชื่อเสียงในอดีตจะกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง ส่วนที่อยู่อาศัยมีราคาระดับ 2-6 ล้านบาท สำหรับผู้ที่รายได้ประมาณ 30,000-100,000 บาทต่อเดือน จะชะลอตัวลง แต่จะมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง ส่วนบ้านระดับราคาสูงตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป จะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ยกเว้นโครงการที่มีทำเลที่ดิน
“สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายถึงปีหน้า จะเป็นการแข่งขันเพื่อแย่งชิงลูกค้ามากกว่าการแข่งขันสัดส่วนตลาด หรือมาร์เก็ตแคป เพราะจะเน้นไปที่บ้านระดับราคาถูกประมาณ 400,000 บาท -1 ล้านบาท ซึ่งจะได้เห็นบรรดาเจ้าพ่อคอนโดฯ ราคาถูกในอดีตจะกลับเข้ามาแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งหนึ่ง” นายสหัส กล่าว
นายสหัส กล่าวอีกว่า ผลกระทบจากค่าวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 8 จากปัญหาราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยและบวกกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวสูงขึ้น และทำให้กระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทลดลงประมาณร้อยละ 3 จากกำไรสุทธิครึ่งปีแรกอยู่ที่ 180 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 23 ของรายได้อยู่ที่ 745 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการโดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการก่อสร้างและเร่งระยะเวลาก่อสร้างให้เสร็จเร็วขึ้น รวมทั้งจะมีการขายบ้านที่สร้างเสร็จแล้วภายใน 2 เดือน เพื่อลดต้นทุนของบริษัท ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าเป้าหมายยอดขายยังคงอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณร้อยละ 30 และมีรายได้จากสำนักงานอาคารให้เช่าอาคารประมาณกว่า 700 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทฯ จะมียอดขายเพิ่มมากขึ้น จากการร่วมงานมหกรรมบ้านและคอนโดมิเนียม ระหว่างวันที่ 27-30 ตุลาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ส่วนแผนงานในปีหน้า บริษัทฯ มีโครงการพัฒนาที่ดิน 171 ไร่ ในย่านรามอินทรา วัชรพล เกษตร และปิ่นเกล้า โดยจะเน้นการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบ
นายสหัส ตันติคุณ กรรมาการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2548 เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ทั้งความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยและปริมาณที่อยู่อาศัย แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้อยู่ในขาลง เป็นการปรับตัวตามสภาพตลาดและยังไม่เกิดสัญญาณฟองสบู่ โดยดูจากตัวเลขความต้องการสินเชื่อบ้านลดลงประมาณร้อยละ 7 ในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา และปริมาณที่อยู่อาศัยออกสู่ตลาดลดลงจากสถิติการขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารแนวราบลดลง แต่สถิติการขอใบอนุญาตบ้านจัดสรรและก่อสร้างอาคารสูงยังเติบโตอยู่
นายสหัส กล่าวว่า สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายจนถึงต้นปีหน้า บ้าน ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ระดับราคาต่ำได้รับความสนใจมากที่สุด โดยกลุ่มผู้ซื้อจะมีรายได้อยู่ประมาณ 8,000-15,000 บาทต่อเดือน ระดับราคาที่อยู่อาศัยทาวน์เฮาส์ ประมาณ 700,000-800,000 บาท คอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 500,000 บาท จะเกิดมากขึ้น โดยผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมราคาถูกที่เคยมีชื่อเสียงในอดีตจะกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง ส่วนที่อยู่อาศัยมีราคาระดับ 2-6 ล้านบาท สำหรับผู้ที่รายได้ประมาณ 30,000-100,000 บาทต่อเดือน จะชะลอตัวลง แต่จะมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง ส่วนบ้านระดับราคาสูงตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป จะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ยกเว้นโครงการที่มีทำเลที่ดิน
“สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายถึงปีหน้า จะเป็นการแข่งขันเพื่อแย่งชิงลูกค้ามากกว่าการแข่งขันสัดส่วนตลาด หรือมาร์เก็ตแคป เพราะจะเน้นไปที่บ้านระดับราคาถูกประมาณ 400,000 บาท -1 ล้านบาท ซึ่งจะได้เห็นบรรดาเจ้าพ่อคอนโดฯ ราคาถูกในอดีตจะกลับเข้ามาแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งหนึ่ง” นายสหัส กล่าว
นายสหัส กล่าวอีกว่า ผลกระทบจากค่าวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 8 จากปัญหาราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยและบวกกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวสูงขึ้น และทำให้กระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทลดลงประมาณร้อยละ 3 จากกำไรสุทธิครึ่งปีแรกอยู่ที่ 180 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 23 ของรายได้อยู่ที่ 745 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการโดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการก่อสร้างและเร่งระยะเวลาก่อสร้างให้เสร็จเร็วขึ้น รวมทั้งจะมีการขายบ้านที่สร้างเสร็จแล้วภายใน 2 เดือน เพื่อลดต้นทุนของบริษัท ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าเป้าหมายยอดขายยังคงอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณร้อยละ 30 และมีรายได้จากสำนักงานอาคารให้เช่าอาคารประมาณกว่า 700 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทฯ จะมียอดขายเพิ่มมากขึ้น จากการร่วมงานมหกรรมบ้านและคอนโดมิเนียม ระหว่างวันที่ 27-30 ตุลาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ส่วนแผนงานในปีหน้า บริษัทฯ มีโครงการพัฒนาที่ดิน 171 ไร่ ในย่านรามอินทรา วัชรพล เกษตร และปิ่นเกล้า โดยจะเน้นการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบ