กรมบัญชีกลางเตรียมรื้อกฎหมายกว่า 10 ฉบับ เพื่อเอื้อการทำงานของหน่วยราชการ โดยจะผลักดันให้ กงช. มีอำนาจการอนุมัติขึ้นเงินเดือนองค์กรอิสระได้ด้วย รวมทั้งจะตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อหาทางป้องกันการทุจริตเป็นการเฉพาะ พร้อมยืนยันการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้างจำนวน 5% นั้นกรมบัญชีกลางมีเงินจ่ายแน่เพราะมีงบประมาณเรียบร้อยแล้ว
นายบุญศักดิ์ เจียมปรีชา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2549 นี้กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานบริการกลางจะเร่งสังคายนากฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบราชการอีกกว่า 10 ฉบับอย่างต่อเนื่องเพื่อปลดล็อกกฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการปฏิบัติงานของราชการ เช่น การแก้ไขกฎหมายและระเบียบคณะกรรมการเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) พ.ศ. 2538 ที่ปัจจุบันยังทำหน้าที่ไม่ครอบคลุมหน่วยงานอิสระจึงทำให้เกิดปัญหาในสังคมขึ้น ซึ่งกรมบัญชีกลางจะปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อให้ กงช.ทำหน้าที่พิจารณาขึ้นเงินเดือนให้กับองค์กรอิสระต่าง ๆ ด้วย รวมถึงปรับขนาดของ กงช.จากปัจจุบันที่มีมากถึง 23 คน ให้ลดลง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและให้เกิดความเป็นกลางในการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ยังมีกฎหมายเรื่องการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ร่างพระราชกฤษฎีกาสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอร่างให้ รมว.คลังลงนามและประกาศใช้ รวมทั้งยังวางกรอบนโยบายพัฒนากฎหมายของรัฐบาลให้มีการบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ คล่องตัว รวดเร็วและลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน
นายบุญศักดิ์ กล่าวด้วยว่า กรมบัญชีกลางจะจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อหามาตรการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งจะเป็นหน่วยงานที่นำข้อมูลหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ จากข้อมูลมาวิเคราะห์และหาแนวทางการป้องกันเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่เข้าไปปราบปรามการทุจริตแต่อย่างใด เพราะกรมบัญชีกลางไม่มีอำนาจในการจับกุม เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนเข้ามามากแม้ว่าจะนำระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยการ
ประมูลด้วยอิเล็กทรอนิกส์หรืออีออคชั่น เข้ามาใช้แล้วก็ตาม ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรคงต้องกำหนดรูปแบบและแนวทางการทำงานให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
ที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้รับการร้องเรียนมาก ทั้งเรื่องการทุจริต ความล่าช้าและไม่เป็นไปตามเป้าหมายของการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ รวมทั้งตัวของระบบที่ไม่สะดวกต่อการทำงาน ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 48 มีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอีออคชั่นเป็นวงเงินทั้งสิ้น 79,069.7 ล้านบาท ประหยัดเงินงบประมาณได้จำนวน 3,878 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5 ของวงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด
ส่วนการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้างจำนวน 5% นั้น ยืนยันว่ากรมบัญชีกลางพร้อมจ่ายเงินให้แน่เพราะมีงบประมาณเรียบร้อยแล้ว โดยจะดำเนินการหลังปรับขึ้นเงินประจำปีในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่ข้าราชการเกษียณและลูกจ้างจะได้รับทั้งการปรับขึ้นเงินเดือนในอัตรา 5,100 บาท ซึ่งกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว โดยจะมีการจ่ายเงินในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ขณะเดียวกันข้าราชการที่เกษียณอายุในปี 48 นี้ จะได้รับเงินบำนาญในเดือนตุลาคมนี้เช่นกัน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องจากการรับเงินเดือนปกติ ซึ่งปัจจุบันกรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้แล้ว 12,290 ราย หรือคิดเป็น 95.48% ของจำนวนข้าราชการและลูกจ้างที่เกษียณอายุราชการในปี 48
นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางยังได้ขยายการจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลใน 4 โรคเรื้อรัง คือ โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจและโรคเส้นเลือดตีบ ให้ครอบคลุมถึงข้าราชการบำนาญที่เกษียณอายุราชการด้วย โดยสามารถรับการรักษาพยาบาลตามสิทธิโดยไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนแต่อย่างใด ซึ่งภายในเดือนเมษายน 49 นี้ จะขยายการให้บริการได้ครบทุกแห่งทั่วประเทศแน่นอน
**การอำนวยความสะดวกค่ารักษาพยาบาล ขรก.-ขรก.บำนาญ**
นายบุญศักดิ์ กล่าวอีกว่า หลังจากพัฒนาระบบบริหารภาคการคลังด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานในส่วนราชการในปีงบประมาณ 2548 จึงได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลตรงให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการสำหรับผู้มีสิทธิและยังได้พัฒนาให้ครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกด้วยโรครักษาต่อเนื่อง เช่น การรักษาโรคไตเพื่อลดภาระการสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิและลดขั้นตอนการเบิกจ่ายของส่วนราชการ สำหรับในแผนงานปีงบประมาณ 2549 ได้เตรียมขยายสถานพยาบาลที่ต้องการเข้าร่วมโครงการจ่ายตรงให้ครบทุกแห่งและขยายการจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลให้ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้รับเบี้ยหวัด/บำนาญ โดยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล การเจ็บป่วยด้วยโรคหรืออาการต่าง ๆ ทุกกรณีตามสิทธิ โดยไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลในส่วนที่เบิกได้ไปก่อนและสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 โดยไม่ต้องขอหนังสือรับรองการมีสิทธิจากต้นสังกัด ซึ่งสถานพยาบาลสามารถตรวจสอบการมีสิทธิได้จากกรมบัญชีกลาง
นายบุญศักดิ์ เจียมปรีชา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2549 นี้กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานบริการกลางจะเร่งสังคายนากฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบราชการอีกกว่า 10 ฉบับอย่างต่อเนื่องเพื่อปลดล็อกกฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการปฏิบัติงานของราชการ เช่น การแก้ไขกฎหมายและระเบียบคณะกรรมการเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) พ.ศ. 2538 ที่ปัจจุบันยังทำหน้าที่ไม่ครอบคลุมหน่วยงานอิสระจึงทำให้เกิดปัญหาในสังคมขึ้น ซึ่งกรมบัญชีกลางจะปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อให้ กงช.ทำหน้าที่พิจารณาขึ้นเงินเดือนให้กับองค์กรอิสระต่าง ๆ ด้วย รวมถึงปรับขนาดของ กงช.จากปัจจุบันที่มีมากถึง 23 คน ให้ลดลง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและให้เกิดความเป็นกลางในการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ยังมีกฎหมายเรื่องการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ร่างพระราชกฤษฎีกาสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอร่างให้ รมว.คลังลงนามและประกาศใช้ รวมทั้งยังวางกรอบนโยบายพัฒนากฎหมายของรัฐบาลให้มีการบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ คล่องตัว รวดเร็วและลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน
นายบุญศักดิ์ กล่าวด้วยว่า กรมบัญชีกลางจะจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อหามาตรการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งจะเป็นหน่วยงานที่นำข้อมูลหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ จากข้อมูลมาวิเคราะห์และหาแนวทางการป้องกันเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่เข้าไปปราบปรามการทุจริตแต่อย่างใด เพราะกรมบัญชีกลางไม่มีอำนาจในการจับกุม เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนเข้ามามากแม้ว่าจะนำระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยการ
ประมูลด้วยอิเล็กทรอนิกส์หรืออีออคชั่น เข้ามาใช้แล้วก็ตาม ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรคงต้องกำหนดรูปแบบและแนวทางการทำงานให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
ที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้รับการร้องเรียนมาก ทั้งเรื่องการทุจริต ความล่าช้าและไม่เป็นไปตามเป้าหมายของการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ รวมทั้งตัวของระบบที่ไม่สะดวกต่อการทำงาน ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 48 มีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอีออคชั่นเป็นวงเงินทั้งสิ้น 79,069.7 ล้านบาท ประหยัดเงินงบประมาณได้จำนวน 3,878 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5 ของวงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด
ส่วนการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้างจำนวน 5% นั้น ยืนยันว่ากรมบัญชีกลางพร้อมจ่ายเงินให้แน่เพราะมีงบประมาณเรียบร้อยแล้ว โดยจะดำเนินการหลังปรับขึ้นเงินประจำปีในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่ข้าราชการเกษียณและลูกจ้างจะได้รับทั้งการปรับขึ้นเงินเดือนในอัตรา 5,100 บาท ซึ่งกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว โดยจะมีการจ่ายเงินในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ขณะเดียวกันข้าราชการที่เกษียณอายุในปี 48 นี้ จะได้รับเงินบำนาญในเดือนตุลาคมนี้เช่นกัน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องจากการรับเงินเดือนปกติ ซึ่งปัจจุบันกรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้แล้ว 12,290 ราย หรือคิดเป็น 95.48% ของจำนวนข้าราชการและลูกจ้างที่เกษียณอายุราชการในปี 48
นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางยังได้ขยายการจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลใน 4 โรคเรื้อรัง คือ โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจและโรคเส้นเลือดตีบ ให้ครอบคลุมถึงข้าราชการบำนาญที่เกษียณอายุราชการด้วย โดยสามารถรับการรักษาพยาบาลตามสิทธิโดยไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนแต่อย่างใด ซึ่งภายในเดือนเมษายน 49 นี้ จะขยายการให้บริการได้ครบทุกแห่งทั่วประเทศแน่นอน
**การอำนวยความสะดวกค่ารักษาพยาบาล ขรก.-ขรก.บำนาญ**
นายบุญศักดิ์ กล่าวอีกว่า หลังจากพัฒนาระบบบริหารภาคการคลังด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานในส่วนราชการในปีงบประมาณ 2548 จึงได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลตรงให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการสำหรับผู้มีสิทธิและยังได้พัฒนาให้ครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกด้วยโรครักษาต่อเนื่อง เช่น การรักษาโรคไตเพื่อลดภาระการสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิและลดขั้นตอนการเบิกจ่ายของส่วนราชการ สำหรับในแผนงานปีงบประมาณ 2549 ได้เตรียมขยายสถานพยาบาลที่ต้องการเข้าร่วมโครงการจ่ายตรงให้ครบทุกแห่งและขยายการจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลให้ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้รับเบี้ยหวัด/บำนาญ โดยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล การเจ็บป่วยด้วยโรคหรืออาการต่าง ๆ ทุกกรณีตามสิทธิ โดยไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลในส่วนที่เบิกได้ไปก่อนและสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 โดยไม่ต้องขอหนังสือรับรองการมีสิทธิจากต้นสังกัด ซึ่งสถานพยาบาลสามารถตรวจสอบการมีสิทธิได้จากกรมบัญชีกลาง