"โคเซ่" ชี้ตลาดเครื่องสำอางช่วงโค้งสุดท้ายของปี แต่ละแบรนด์ทำการบ้านหนักขึ้น เชื่อการจัดอีเวนต์และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ดึงกำลังซื้อลูกค้าที่ชะลอตัวไปให้กลับมาได้ ส่วน "ไมเนอร์ฯ" เชื่อครึ่งปีหลังตลาดเครื่องสำอางแข่งดุ จากการที่แบรนด์ใหม่แห่เข้าตลาดไทยต่อเนื่อง ปีหน้าเตรียมขนแบรนด์ใหม่จากบริษัทอมอร์ฯเข้ามาทำตลาดอีก
นายโชคชัย รัตนวิบูลย์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคเซ่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า ตลาดเครื่องสำอางช่วงครึ่งปีหลังต่อจากนี้ไปทุกแบรนด์จะต้องทำการบ้านมากขึ้น หากไม่มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ซึ่งจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่คนไทยกังวลเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นหรือเรื่องราคาน้ำมัน มองว่าการปรับราคาน้ำมันในเวลานี้ไม่รุนแรงเหมือนตอนที่ไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท โดยส่วนของกำลังซื้อของผู้บริโภคอาจจะมีการชะลอการซื้อลงไปบ้าง แต่หากทุกแบรนด์มีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดี เช่น การทำอีเวนต์และเปิดตัวโปรดักส์ใหม่ เชื่อว่ากำลังซื้อของลูกค้าก็จะกลับมาอีกครั้ง ส่วนเรื่องการลดราคาสินค้าบริษัทฯไม่มีแผนลดราคาลง แต่จะเน้นไปที่การฝึกพนักงานเป็นหลัก
ล่าสุดบริษัทโคเซ่ฯเพิ่งเปิดตัวแบรนด์เครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยม"คอสเม่ ดีคอร์เต้" ซึ่งระดับราคาของผลิตภัณฑ์มีตั้งแต่ 3,000-30,000 บาท ซึ่งการที่โคเซ่หันมารุกตลาดเครื่องสำอางระดับบน เนื่องจากมองเห็นช่องว่างในตลาดไทยที่มีแบรนด์พรีเมียมอยู่ไม่มาก อาทิ เอสเค-ทู, ลาแมร์, ลาแพร์รี่ เป็นต้น โดยกลยุทธ์ในการทำตลาดของแบรนด์ใหม่นี้ บริษัทฯเล่นเรื่องราคาขายที่ถูกกว่าบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นถึง 10-18% ซึ่งสวนทางกับผลิตภัณฑ์เอสเค-ทูที่มีการขายสินค้าในไทยแพงกว่าที่ญี่ปุ่น โดยบริษัทฯได้ตั้งงบประมาณทางการตลาดสำหรับแบรนด์ใหม่นี้ไว้ที่ 120 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี พร้อมตั้งยอดขายปีแรก 15 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ในเครืออยู่ 4 แบรนด์ ประกอบด้วย 1.แบรนด์โคเซ่ เครื่องสำอางกลุ่มสกินแคร์ที่เจาะกลุ่มอายุ 25 ปีขึ้น มีสัดส่วนยอดขาย 40% จากยอดขายรวมกว่า 200 ล้านบาท 2.แบรนด์ฟาสซิโอ ผลิตภัณฑ์เมคอัพที่เน้นเจาะกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป มีสัดส่วน 25% 3.แบรนด์โบเต้ เดอ โคเซ่ ผลิตภัณฑ์กลุ่มเมคอัพและสกินแคร์ที่เจาะกลุ่มผู้หญิงอายุ 25 ปีขึ้น มีสัดส่วน 20% และ4. คอสเม่ ดีคอร์เต้ เครื่องสำอางพรีเมียมที่เจาะกลุ่มผู้มีรายได้สูงและมีอายุ 35 ปีขึ้นไป มีสัดส่วน 15%
ไมเนอร์ฯเชื่อแบรนด์ใหม่สร้างสีสันตลาด
นางสาวสมรวรรณ รัตตกุล ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอาง บริษัทไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เรดเอิร์ธ บลูมและลาเนจ เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน" ถึงภาพรวมตลาดเครื่องสำอางในช่วงครึ่งปีหลังว่า การแข่งขันของตลาดจะสูงกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากมีแบรนด์ใหม่เข้ามาในตลาดมาก อาทิ เครื่องสำอางนาร์สของค่ายชิเซโด้ ซึ่งในแต่ละแบรนด์ที่เข้ามาใหม่จำเป็นที่จะต้องใช้งบทางการตลาดในการประชาสัมพันธ์และสร้างแบรนด์เป็นจำนวนมากจึงส่งผลให้การแข่งขันมีสีสันขึ้น
ขณะที่สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่คาดว่าจะชะลอตัวลง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคที่อาจจะลดลงตามไปด้วย แต่เชื่อว่าโดยรวมตลาดยังคงเติบโตอยู่ ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาธุรกิจเครื่องสำอางในช่องทางเคาน์เตอร์เซลล์มียอดขายโต 20% เป็นเพราะการมีรายใหม่เข้ามาในตลาด เช่น ลอร่าและทาลิก้า เป็นต้น
เน้นกลยุทธ์ซีอาร์เอ็ม
นางสาวสมรวรรณ กล่าวถึงในส่วนของเครื่องสำอางทั้ง 3 แบรนด์ของไมเนอร์ฯว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจะเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและทำโปรโมชั่น ณ จุดขาย โดยผ่านทางช่องทางการขายที่มีครอบคลุมและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง ประกอบกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สินค้ามีความหลากหลายหรือวาไรตี้มากขึ้น รวมถึงปีหน้าเตรียมนำแบรนด์ใหม่ในกลุ่มสกินแคร์จากบริษัทอมอร์ แปซิฟิกของเกาหลีเข้ามาทำตลาดในไทยอีกด้วย
ด้านผลิตภัณฑ์แบรนด์เรดเอิร์ธบริษัทฯเตรียมเปิดตัวแคมเปญใหญ่ 2 งาน พร้อมกับเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 30 รายการ ส่วนเครื่องสำอางบลูมมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ในอาทิตย์หน้า 6 รายการ จากทั้งหมด 15 รายการ ด้านเครื่องสำอางลาเนจจากเกาหลี ซึ่งถือเป็นน้องใหม่รายล่าสุดของบริษัทฯนั้น ทุกๆเดือนจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ ทั้งนี้จากการทำตลาดในช่วงมีนาคมที่ผ่านมาส่งผลให้ปัจจุบันลูกค้าเริ่มรู้จักแบรนด์ลาเนจมากขึ้น โดยพบว่ายอดขายโต 30% ขณะที่ช่องทางการขายปัจจุบันมี 5-6 เคาน์เตอร์ โดยบริษัทฯตั้งเป้าจะเปิดเคาน์เตอร์เพิ่มไตรมาสละ 2-3 แห่ง
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 20% แบ่งเป็นยอดรายได้จากแบรนด์เรดเอิร์ธ 200 ล้านบาท บลูม 80 ล้านบาทและลาเนจ 50 ล้านบาท