รมว.อุตสาหกรรมมอบหมายสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดโครงการในการพัฒนาลอจิสติกส์มาเสนอ เพื่อให้ไทยมีความได้เปรียบด้านต้นทุนสินค้ากับประเทศคู่แข่งมากขึ้นกว่าเดิม
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้เข้าพบเพื่อรับทราบนโยบายการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ในภาคอุตสาหกรรมในระยะต่อไป รวมถึงหารือถึงแนวทางในการประสานการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับภาคเอกชน โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการระบบลอจิสติกต์ ซึ่งเล็งเห็นว่าปัจจุบันมีความสำคัญมากในการเข้าไปช่วยลดต้นทุนสินค้าของผู้ประกอบการได้ ซึ่งได้เสนอให้ สรท.จัดทำรายละเอียดโครงการด้านการพัฒนาลอจิสติกส์ที่ต้องการจะให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเข้าไปสนับสนุน เนื่องจากเชื่อมั่นว่าภาคเอกชนจะทราบถึงข้อเท็จจริงและจัดวางกลยุทธ์ดำเนินการเรื่องนี้ได้ดีกว่าภาครัฐ ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมไทยเกิดความได้เปรียบด้านต้นทุนสินค้ากับประเทศคู่แข่งสำคัญ เช่น จีน และอินเดีย เป็นต้น โดยในหลักการเบื้องต้นได้มอบหมายให้นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มาเป็นผู้ดูแลหลักในการพิจารณาโครงการที่ทาง สรท.จะนำมาเสนอในเร็วๆ นี้
“ปัจจุบันระบบลอจิสติกส์ได้เข้ามามีบทบาทกับการลดต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรมอย่างมาก ซึ่งขณะนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะเข้าไปกระตุ้นให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกระดับทั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ได้มีการวางแผนจัดการขนส่งสินค้าทั้งระบบ เรียกได้ว่าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง กล่าวคือตั้งแต่เริ่มการสั่งซื้อสินค้า การบริหารสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง การเชื่อมต่อระบบขนส่งสินค้าไปยังลูกค้า โดยเชื่อมั่นว่าหากภาคอุตสาหกรรมมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ลดต้นทุนสินค้าได้เป็นมูลค่ามหาศาล” นายสุริยะกล่าว
นอกจากนี้ยังได้มีการหารือถึงแนวทางในการพัฒนาแรงงานภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากขณะนี้โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่หันไปจ้างแรงงานจากต่างชาติเข้ามาทำงานในด้านการผลิต เพราะอัตราค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า ประกอบกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มองว่าแรงงานเหล่านี้มีความขยันและกระตือรือร้นในการทำงานมากกว่าแรงงานไทย ซึ่งในเรื่องนี้เห็นว่าผู้ประกอบการต้องวางแผนที่จะจัดการระบบการจ้างแรงงานให้เหมาะสมกับเนื้องานมากกว่า โดยแรงงานไทยนับเป็นแรงงานฝีมือ ดังนั้นควรจัดให้เป็นแรงงานระดับกลางที่ต้องอาศัยทักษะความชำนาญเฉพาะด้านในการผลิต
ทั้งนี้ รัฐบาลโดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการในเรื่องนี้ โดยจะมุ่งเน้นการเข้าไปพัฒนาฝีมือแรงงานไทยให้มีคุณภาพมากขึ้น พร้อมกับกระตุ้นให้ผู้ประกอบการใช้หลักการจ้างแรงงานต่างชาติที่จะต้องไม่ให้กระทบต่อการจ้างแรงงานภายในประเทศ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้เข้าพบเพื่อรับทราบนโยบายการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ในภาคอุตสาหกรรมในระยะต่อไป รวมถึงหารือถึงแนวทางในการประสานการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับภาคเอกชน โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการระบบลอจิสติกต์ ซึ่งเล็งเห็นว่าปัจจุบันมีความสำคัญมากในการเข้าไปช่วยลดต้นทุนสินค้าของผู้ประกอบการได้ ซึ่งได้เสนอให้ สรท.จัดทำรายละเอียดโครงการด้านการพัฒนาลอจิสติกส์ที่ต้องการจะให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเข้าไปสนับสนุน เนื่องจากเชื่อมั่นว่าภาคเอกชนจะทราบถึงข้อเท็จจริงและจัดวางกลยุทธ์ดำเนินการเรื่องนี้ได้ดีกว่าภาครัฐ ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมไทยเกิดความได้เปรียบด้านต้นทุนสินค้ากับประเทศคู่แข่งสำคัญ เช่น จีน และอินเดีย เป็นต้น โดยในหลักการเบื้องต้นได้มอบหมายให้นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มาเป็นผู้ดูแลหลักในการพิจารณาโครงการที่ทาง สรท.จะนำมาเสนอในเร็วๆ นี้
“ปัจจุบันระบบลอจิสติกส์ได้เข้ามามีบทบาทกับการลดต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรมอย่างมาก ซึ่งขณะนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะเข้าไปกระตุ้นให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกระดับทั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ได้มีการวางแผนจัดการขนส่งสินค้าทั้งระบบ เรียกได้ว่าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง กล่าวคือตั้งแต่เริ่มการสั่งซื้อสินค้า การบริหารสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง การเชื่อมต่อระบบขนส่งสินค้าไปยังลูกค้า โดยเชื่อมั่นว่าหากภาคอุตสาหกรรมมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ลดต้นทุนสินค้าได้เป็นมูลค่ามหาศาล” นายสุริยะกล่าว
นอกจากนี้ยังได้มีการหารือถึงแนวทางในการพัฒนาแรงงานภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากขณะนี้โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่หันไปจ้างแรงงานจากต่างชาติเข้ามาทำงานในด้านการผลิต เพราะอัตราค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า ประกอบกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มองว่าแรงงานเหล่านี้มีความขยันและกระตือรือร้นในการทำงานมากกว่าแรงงานไทย ซึ่งในเรื่องนี้เห็นว่าผู้ประกอบการต้องวางแผนที่จะจัดการระบบการจ้างแรงงานให้เหมาะสมกับเนื้องานมากกว่า โดยแรงงานไทยนับเป็นแรงงานฝีมือ ดังนั้นควรจัดให้เป็นแรงงานระดับกลางที่ต้องอาศัยทักษะความชำนาญเฉพาะด้านในการผลิต
ทั้งนี้ รัฐบาลโดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการในเรื่องนี้ โดยจะมุ่งเน้นการเข้าไปพัฒนาฝีมือแรงงานไทยให้มีคุณภาพมากขึ้น พร้อมกับกระตุ้นให้ผู้ประกอบการใช้หลักการจ้างแรงงานต่างชาติที่จะต้องไม่ให้กระทบต่อการจ้างแรงงานภายในประเทศ