xs
xsm
sm
md
lg

สามยักษ์วงการอาหารลงขัน 240 ล้าน เปิดบริษัทกลางผลิตเครื่องปรุงรสลั่น 5 ปีขึ้นเบอร์สอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สามบริษัทยักษ์ใหญ่วงการอาหาร "อายิโนะโมะโต๊ะ-ไฮคิวฯ-ยามาโมริ" ผนึกกำลังทุ่ม 240 ล้านบาท ร่วมทุนผุด"เอ คิว วาย"บริษัทกลางผลิตเครื่องปรุงรส หวังช่วยลดต้นทุน "โรซ่า"ประเดิมแตกไลน์ซีอิ๊วชิงเค้ก 2,000 ล้านบาท หมายตา 5 ปี ผงาดขึ้นเป็นเบอร์สอง สิ้นปีกวาดรายได้รวม 2,000 ล้านบาท ส่วน"อายิฯ"เตรียมดีเดย์เปิดตัวซอสญี่ปุ่น"ทาคูมิ -อายิ" 17ส.ค.48 นี้

นายสุวิทย์ วังพัฒนมงคล  ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายปลากระป๋องและซอสพริก-มะเขือเทศตราโรซ่า เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมทุนกับ 2 บริษัท ประกอบด้วย บริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และบริษัทยามาโมริ 19 % และของบริษัทไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร 30% จัดตั้งบริษัท เอ คิว วาย ประเทศไทย จำกัด ทุนจดทะเบียน 240 ล้านบาท โดยการร่วมทุนดังกล่าว เพื่อให้บริษัทเอ คิว วาย เป็นบริษัทกลางในการผลิตซอสปรุงรสประเภทต่างๆ ขณะเดียวกันยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของทั้งสามบริษัทด้วย

สำหรับเป้าหมายของการร่วมทุนในครั้งนี้ ของบริษัทไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัท ที่ต้องการขยายไลน์สินค้าไปสู่กลุ่มซอสปรุงรสในเชิงรุกมากขึ้น เนื่องจากรายได้หลักของบริษัทจะมาจากปลากระป๋องเป็นหลักถึง 80% ส่วนซอสพริกและมะเขือเทศเพียง 20% อีกทั้งแนวโน้มตลาดซอสปรุงรสมูลค่า 1,500 ล้านบาท เป็นตลาดที่มีศักยภาพและแนวโน้มการเติบโตสูง โดยปีนี้คาดว่าตลาดจะโต 5-10% ส่วนตลาดน้ำมันหอยมูลค่า 1,500-2,000 ล้านบาท โต 15%

ล่าสุดบริษัทเปิดตัว"ซีอิ๊วสูตร 1" แบรนด์โรซ่า ภายใต้แนวคิดคุณค่าจากธรรมชาติ ลงสู่ตลาดในเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนในปีหน้าบริษัทเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ กลุ่มซอสปรุงรสประเภทอื่นๆ หรือกลุ่มน้ำมันหอยลงสู่ตลาด ขณะที่ทางด้านบริษัทร่วมทุนอีกบริษัทหนึ่ง อย่างบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ ในวันนี้ (17 ส.ค.48)ได้เปิดตัว"ทาคูมิ -อายิ"ซอสญี่ปุ่นปรุงสำเร็จเช่นกัน ทั้งนี้เหตุผลที่ทำให้ทั้งสองบริษัทหันมารุกตลาดซอสปรุงรสมากขึ้น เนื่องจากกระแสสุขภาพที่มาแรง ส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคของคนไทย หันมาบริโภคอาหารที่ได้จากทำธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดเติบโตเพิ่มขึ้นอีกมาก

"ในอนาคตตลาดเครื่องปรุงรสทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ จะเหลือผู้เล่นรายหลักเพียง 2 รายเท่านั้น คือ ผู้นำตลาด และอันดับสองของตลาด ส่วนอันดับสามจะเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ ทำให้หลังจากบริษัทเปิดตัวซีอิ๊วโรซ่าลงสู่ตลาดจะต้องทำตลาดเชิงรุก โดยวางเป้าหมายภายใน 3 ปีแรกมีส่วนแบ่ง 5-7% และภายใน 5 ปี ขึ้นเป็นอันดับสองมีส่วนแบ่ง 10-12% จากปัจจุบันอันดับสองเป็น ภูเขาทอง และง่วนเชียง มีส่วนแบ่ง 10% ส่วนผู้นำตลาดเป็น ยันวอหยุน ครองส่วนแบ่ง 70%"

นายสุวิทย์ กล่าวว่า แผนการทำตลาดกลุ่มปลากระป๋องและซอสพริก-มะเขือเทศ บริษัทจะมุ่งเน้นภายใต้แนวคิดคุณค่าจากธรรมชาติ หลังจากในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รีโพซิชันนิ่งแบรนด์มาสู่สินค้าเพื่อสุขภาพ เน้นการผลิตจากธรรมชาติ โดยทั้งปีนี้บริษัทใช้งบการตลาด 50 ล้านบาท ในครึ่งปีแรกใช้ไปแล้ว 25 ล้านบาท สำหรับการเปิดตัวโรซ่า บิ๊กแมก ล่าสุดบริษัทได้จัดงานเปิดตัวหนังสือเมนูสู่หุ่นสวย โดยร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อตอกย้ำโพซิชันนิ่งของโรซ่า

อย่างไรก็ตาม การทำตลาดปลากระป๋อง บริษัทจะเน้นกลุ่มปลาแมกคาเรล ซึ่งเป็นเซกเมนต์ระดับพรีเมียมเป็นหลัก เนื่องจากเป็นสินค้าที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ อีกทั้งยังเป็นตลาดที่เล็กและมีโอกาสที่จะเติบโตสูง ส่วนกลุ่มปลาซาดีน เป็นตลาดที่มีการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างรุนแรง ส่วนการทำตลาดกลุ่มซอสพริก-มะเขือเทศโรซ่า จะเน้นโปรโมตกลุ่มสินค้าที่บริษัทเพิ่งเปิดตัวลงสู่ตลาดไป ได้แก่ ซอสมะเขือเทศผสมแครอท ฯลฯ

แนวโน้มตลาดปลากระป๋องมูลค่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ปลาซาดีน 2,400 ล้านบาท ปลาทูน่า 450 ล้านบาท และปลาแมกคาเรล150 ล้านบาท ในปีนี้ตลาดโดยรวมจะมีอัตราการเติบโต 20% โดยปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งในกลุ่มปลาซาดีน 30% ปลาทูน่า 15% และปลาแมกคาเรล 20% โดยผลประกอบการในครึ่งปีแรกเติบโต 20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนทั้งปีนี้ตั้งเป้ามีรายได้ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้ภายในประเทศ 1,500 ล้านบาท และส่งออก 500 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น