“โฮลิสติค ไล้ฟ์” ธุรกิจขายตรงพันธุ์ใหม่ของไทยทำตลาดแหวกแนว ดึงผู้คร่ำหวอดในวงการขายตรงทั้งแอมเวย์ เอวอนและยูสตาร์มากุมบังเหียน พร้อมนำระบบไฮบริด มาร์เก็ตติ้งมาใช้เป็นรายแรกในไทยและเอเชีย ชูจุดต่างธุรกิจทุกคนสามารถเป็นเถ้าแก่ได้ เล็งเข้าช่องทางสถาบันการศึกษากว่า 100 แห่งหวังเจาะกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลักเนื่องจากกำลังซื้อสูง พร้อมลุยตลาดต่างแดนอีก 2 ปี คาดสิ้นปีรายได้แตะ 100 ล้านบาท และจำนวนสมาชิกพุ่ง 1 หมื่นคน
นายวิทยา มานะวาณิชเจริญ ประธานกรรมการ บริษัท โฮลิสติค ไล้ฟ์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพ ภายใต้ชื่อ “โอโกะ” เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ศึกษาข้อมูลและพบว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงามเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพดีและไปได้ไกล ดังนั้นบริษัทฯจึงได้เริ่มดำเนินธุรกิจขายตรง โดยระยะเริ่มต้นจะเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์เป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ “โอโกะ” โดยลักษณะการทำตลาดของบริษัทฯได้มีการนำระบบขายตรงรูปแบบใหม่ “ไฮบริด มาร์เก็ตติ้งหรือแบบผสม” ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อดีของขายตรงแบบชั้นเดียว (SLM) และธุรกิจขายตรงหลายชั้น (MLM) มาใช้ในธุรกิจขายตรง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในตลาดไทยและเอเชียที่นำระบบนี้มาใช้ รวมถึงยังมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างจากรายอื่นๆ ตรงที่เปิดโอกาสให้พนักงานและสมาชิกขายตรงของบริษัทฯสามารถเป็นเถ้าแก่หรือเจ้าของธุรกิจเองได้ด้วย
ดึงมือดีขายตรงกุมบังเหียน
ด้านนายศุภพงศ์ จันทรวีระกุล ผู้จัดการฝ่ายขาย (ทั่วประเทศ) บริษัท โฮลิสติค ไล้ฟ์ จำกัด ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจขายตรงหลายแห่ง เช่น แอมเวย์,เอวอน และยูสตาร์ เปิดเผยว่า ความแตกต่างสำหรับขายตรงชั้นเดียวและหลายชั้นอยู่ที่แผนการจ่ายผลตอบแทนและการดำเนินธุรกิจ อาทิ ธุรกิจขายตรงหลายชั้นมีการลงทุนทำธุรกิจสูงกว่าขายตรงชั้นเดียว และขายตรงหลายชั้นไม่มีพนักงานหรือแม่ทีมในการทำธุรกิจภาคสนามแต่ขายตรงชั้นเดียวมีพนักงานเป็นแม่ทีมหลัก หรือการที่ธุรกิจขายตรงหลายชั้นเป็นธุรกิจที่ให้ความหวังคน ส่วนข้อเสียของขายตรงชั้นเดียว คือ หากแม่ทีมลาออกจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ต้องตกเป็นของบริษัท เป็นต้น
“ธุรกิจเราแตกต่างจากรายอื่น อาทิ ระบบของเราสร้างคนให้เป็นเถ้าแก่และให้มีส่วนร่วมในธุรกิจ ,การที่เป็นเน็ตเวิร์คเป็นระบบผสม ,มีสินค้าที่แตกต่างจากตลาด และบริษัทฯมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับที่แข็งแรง เช่น ระบบไอทีและลอจิสติกส์”
ปัจจุบันบริษัทฯมีเจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจหรือแม่ทีม (BDE)ที่มีหน้าที่หาสมาชิกและได้รับเงินเดือนในฐานะพนักงานบริษัทอยู่จำนวน 8 คน คาดว่าสิ้นปีเพิ่มเป็น 12 คน ส่วนจำนวนสมาชิกมี 1,000 คนหลังจากที่เริ่มดำเนินการเป็นเวลา 1 เดือน โดยสิ้นปีนี้คาดว่าสมาชิกจะเพิ่มเป็น 1 หมื่นคน ขณะที่ศูนย์กระจายสินค้าขณะที่มีแห่งเดียว คือ ที่ออฟฟิคของบริษัทฯ และมีแผนขยายศูนย์ฯโอโกะ
รุกเจาะวัยรุ่นผ่านสถาบันศึกษา100 แห่ง
กลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทฯ คือ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 13-21ปี คิดเป็นสัดส่วน 80% เนื่องจากมองว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและใช้เครื่องสำอางบ่อย ซึ่งในตลาดขายตรงยังไม่มีรายใดที่เจาะกลุ่มวัยรุ่นโดยตรง รวมถึงยังเจาะกลุ่มคนวัยทำงานอายุ 25 ปีขึ้นไปอีกด้วย คิดเป็นสัดส่วน 20% โดยบริษัทฯมีแผนรุกเจาะกลุ่มนักศึกษาและนักเรียนโดยเฉพาะผ่านทางช่องทางสถาบันการศึกษากว่า 100 แห่งทั่วประเทศ ด้วยการทำโครงการ อาทิ บริษัทจำลองธุรกิจ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ทดลองทำธุรกิจจริงๆ หรือทำงานในช่วงพาร์ทไทม์ เป็นต้น
เล็งอีก 2 ปีลุยทำตลาดต่างแดน
นางสาวโสภิดา พิเชฐหิรัญกาญจนา กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โฮลิสติค ไล้ฟ์ จำกัด กล่าวว่า ด้านตลาดต่างประเทศบริษัทฯมีแผนที่จะไปทำตลาดในรูปแบบอื่นๆที่เหมาะสมกับประเทศนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบขายตรงเหมือนในไทย ซึ่งการรุกตลาดต่างประเทศจะต้องศึกษาเรื่องกฎหมายและช่องทางการขายในแต่ละประเทศให้ดีเสียก่อน ตลาดที่บริษัทฯสนใจ คือ ประเทศย่านเอเชีย เช่น ฮ่องกงอาจจะทำตลาดแบบเน็ตเวิร์ค เป็นต้น ทั้งนี้คาดว่าอีก2-3 ปีจะรุกตลาดต่างประเทศได้
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์โอโกะมีกว่า 30 รายการ แบ่งเป็นกลุ่มสกินแคร์ , เครื่องสำอาง และมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 5-6 รายการ รวมทั้งเตรียมนำเข้าอาหารเสริมจากอเมริกาในช่วงปลายปีนี้และปีหน้าเตรียมนำเข้าแฮร์แคร์จากญี่ปุ่น เช่น สีย้อมผม,น้ำยายืดผม ฯลฯ ซึ่งราคาเฉลี่ยของสินค้าโอโกะจะอยู่ที่ 50-950 บาท ขณะที่ยอดรายได้ตั้งเป้าสิ้นปีคาดว่าจะมีกว่า 100 ล้านบาท
****************************************************
ขายตรงสินค้าทางเลือกในยุควิกฤต
นายวิทยา มานะวาณิชเจริญ ประธานกรรมการ บริษัท โฮลิสติค ไล้ฟ์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจขายตรงในปัจจุบันนี้ว่า จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เกิดปัจจัยลบมาก เช่น ราคาน้ำมัน ฯลฯ มองว่าธุรกิจขายตรงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ต้องการหารายได้เสริมที่จะหันเข้ามาทำขายตรงกันเป็นจำนวนมาก ขณะที่กำลังซื้อของคนอาจจะลดลงไปบ้าง แต่มองว่าระบบขายตรงมีข้อได้เปรียบตรงที่สามารถซื้อสินค้าได้ราคาถูกกว่าระบบอื่น ตรงนี้จึงคิดว่าวิกฤตเศรษฐกิจนี้จะเป็นโอกาสทองของธุรกิจขายตรง
สำหรับมูลค่ารวมของธุรกิจขายตรงในส่วนของตลาดเพื่อสุขภาพและความงามมีกว่า 2 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 10% บริษัทฯตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีส่วนแบ่งการตลาด 10% จากตลาดรวมที่คาดว่าจะโตกว่า 3 หมื่นล้านบาท