บริษัทจอห์นสันฯเห็นศักยภาพตลาดบำรุงผิวในไทย ลงทุนตั้งโรงงานผลิตนูโทรจีนาในไทยช่วงต้นปีนี้ หวังรองรับตลาดในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ราคานูโทรจีนาปรับลดตาม 20-40% พร้อมตั้งเป้า 3 ปีขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาดแมสพรีเมียม
นายฟิลิป อาร์ ลินซ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นูโทรจีนา เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯมีความพร้อมในทุกด้านแล้วจึงมีแผนรุกตลาดบำรุงผิวในส่วนของผลิตภัณฑ์นูโทรจีนาอย่างจริงจังในรอบ 10 ปี โดยการตั้งโรงงานผลิตในไทย เมื่อช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ เพื่อรองรับตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทยด้วย ซึ่งการมาตั้งโรงงานทำให้ราคาของนูโทรจีนาในไทยสามารถปรับลดราคาได้ถึง 20-40% แต่ราคาของนูโทรจีนาถือว่ายังแพงกว่าโอเลย์อยู่ 15-25%
“เราตั้งเป้าภายใน 3 ปีนูโทรจีนาจะเป็นผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ในตลาดแมสพรีเมี่ยม ซึ่งการเป็นผู้นำได้ต้องมีการสร้างแบรนด์นูโทรจีนาให้ติดตลาดก่อน ตรงนี้ต้องใช้เวลานานกว่า 2 ปี ซึ่งในต่างประเทศอย่างสิงคโปร์,ฮ่องกงและไต้หวัน นูโทรจีนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายอันดับ 1”
พร้อมกันนี้บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในส่วนของผลิตภัณฑ์นูโทรจีนาหลายส่วนด้วยกัน อาทิ ขยายช่องทางการขายเพิ่มขึ้นทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต,ร้านบู้ทส์และวัตสัน รวมถึงการปรับปรุงตู้จัดวางสินค้าให้มีความทันสมัยขึ้น โดยบริษัทฯได้เพิ่มงบประมาณกว่า 200 ล้านบาทในการจัดกิจกรรมทางการตลาดภายใต้แคมเปญชุด “คำตอบ คือ นูโทรจีนา” ผ่านทางสื่ออโบฟ เดอะ ไลน์ ได้แก่ หนังโฆษณาชุดใหม่ที่จะเริ่มออกอากาศ 28 ก.ค. นี้ ส่วนบีโลว์ เดอะ ไลน์ เช่น การแจกสินค้าตัวอย่าง 5 แสนชิ้น เป็นต้น
สำหรับตลาดบำรุงผิวในไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยมีมูลค่าตลาดรวม 9พันล้านบาท และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะโต27% โดยผลการวิจัยพบว่าผู้บริโภคคนไทย โดยเฉพาะผู้หญิงกว่า 77% ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิว ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวโฟมล้างหน้า “นูโทรจีนา ดีฟ คลีน โฟมมิ่ง คลีนเซอร์” และมอยส์เจอร์ ดีเฟนส์ ครีม และโลชั่น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิว ซึ่งปัจจุบันนูโทรจีนามีผลิตภัณฑ์อยู่กว่า 30 รายการ โดยสัดส่วนยอดขายของนูโทรจีนา คิดเป็น 30% ของรายได้ทั้งหมด
นายฟิลิป อาร์ ลินซ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นูโทรจีนา เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯมีความพร้อมในทุกด้านแล้วจึงมีแผนรุกตลาดบำรุงผิวในส่วนของผลิตภัณฑ์นูโทรจีนาอย่างจริงจังในรอบ 10 ปี โดยการตั้งโรงงานผลิตในไทย เมื่อช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ เพื่อรองรับตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทยด้วย ซึ่งการมาตั้งโรงงานทำให้ราคาของนูโทรจีนาในไทยสามารถปรับลดราคาได้ถึง 20-40% แต่ราคาของนูโทรจีนาถือว่ายังแพงกว่าโอเลย์อยู่ 15-25%
“เราตั้งเป้าภายใน 3 ปีนูโทรจีนาจะเป็นผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ในตลาดแมสพรีเมี่ยม ซึ่งการเป็นผู้นำได้ต้องมีการสร้างแบรนด์นูโทรจีนาให้ติดตลาดก่อน ตรงนี้ต้องใช้เวลานานกว่า 2 ปี ซึ่งในต่างประเทศอย่างสิงคโปร์,ฮ่องกงและไต้หวัน นูโทรจีนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายอันดับ 1”
พร้อมกันนี้บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในส่วนของผลิตภัณฑ์นูโทรจีนาหลายส่วนด้วยกัน อาทิ ขยายช่องทางการขายเพิ่มขึ้นทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต,ร้านบู้ทส์และวัตสัน รวมถึงการปรับปรุงตู้จัดวางสินค้าให้มีความทันสมัยขึ้น โดยบริษัทฯได้เพิ่มงบประมาณกว่า 200 ล้านบาทในการจัดกิจกรรมทางการตลาดภายใต้แคมเปญชุด “คำตอบ คือ นูโทรจีนา” ผ่านทางสื่ออโบฟ เดอะ ไลน์ ได้แก่ หนังโฆษณาชุดใหม่ที่จะเริ่มออกอากาศ 28 ก.ค. นี้ ส่วนบีโลว์ เดอะ ไลน์ เช่น การแจกสินค้าตัวอย่าง 5 แสนชิ้น เป็นต้น
สำหรับตลาดบำรุงผิวในไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยมีมูลค่าตลาดรวม 9พันล้านบาท และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะโต27% โดยผลการวิจัยพบว่าผู้บริโภคคนไทย โดยเฉพาะผู้หญิงกว่า 77% ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิว ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวโฟมล้างหน้า “นูโทรจีนา ดีฟ คลีน โฟมมิ่ง คลีนเซอร์” และมอยส์เจอร์ ดีเฟนส์ ครีม และโลชั่น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิว ซึ่งปัจจุบันนูโทรจีนามีผลิตภัณฑ์อยู่กว่า 30 รายการ โดยสัดส่วนยอดขายของนูโทรจีนา คิดเป็น 30% ของรายได้ทั้งหมด