แม็คโคร เล็งเพิ่มสินค้าเฮาส์แบรนด์อีก 400 รายการ รับกำลังซื้อหด จากพิษเศรษฐกิจกระหน่ำ คนซื้อเฮาส์แบรนด์มากขึ้น ด้านท็อปส์เร่งปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่ หลังพบยอดขายเฮาส์แบรนด์โต 10%
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ในปีนี้แม็คโครมีแผนที่จะเพิ่มสินค้าเฮาส์แบรนด์ให้มากขึ้นอีกจากเดิมที่มีอยู่แล้ว เนื่องจากเล็งเห็นว่า ตลาดสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตขึ้น ทั้งเหตุผลที่มาจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง อีกทั้งการพัฒนาคุณภาพของสินค้าเฮาส์แบรนด์ให้ดีขึ้นตลอด
โดยแม็คโครมีแผนจะขยายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 400 รายการ จากเดิมที่มีอยู่ 1,500 รายการ จากสินค้าเฮ้าส์แลบรนด์ทั้งหมด 4 แบรนด์คือ แบรนด์ Aro (แอโร่) สำหรับสินค้าอุปโภค บริโภคระดับพรีเมี่ยม, Save Pack (เซฟแพ็ค), Q-Biz (คิวบิส) สำหรับอุปกรณ์เครื่องเขียน โดยมุ่งขยายไลน์สินค้าที่จะนำไปใช้ในกลุ่มร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม ร้านซักรีด ร้านค้าปลีก
ทั้งนี้ราคาสินค้าเฮาส์แบรนด์ของแม็คโครจะมีราคาถูกกว่าราคาสินค้าทั่วไป 15-25% เพื่อช่วยในการบริหารต้นทุนธุรกิจของลูกค้าให้ต่ำลง เนื่องจากไม่มีต้นทุนการโฆษณาและโปรโมชั่นต่างๆ อย่างไรก็ตาม แม็คโครได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ด้านต้นทุนสินค้าเหมือนกับสินค้าอื่นๆ แต่จะยืนราคาเดิมสำหรับสินค้าในสต็อกเดิมที่เคยตกลงไว้กับผู้ผลิตไปก่อน
นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัตร ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด (ซีเอฟอาร์) ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารร้านท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านมาร์เก็ตเพลส บาย ท็อปส์ และร้านซิตี้มาร์เก็ต บาย ท็อปส์ เปิดเผยว่า ตัวเลขการจับจ่ายซื้อสินค้าตราท็อปส์ในช่วงไตรมาสที่ 2 เติบโตขึ้นถึง 10% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันนับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ทำให้ผู้บริโภคคำนึงถึง Value for money มากขึ้น และมีการชิ๊ปจากการซื้อสินค้าทั่วไปมาเป็นการซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้สินเค้าตราท็อปจะเติบโตถึง 30%
นอกจากนั้นยังเป็นผลมาจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นของท็อปส์จากเดิม 47 สาขา เป็น 71 สาขาทั่วประเทศในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าจะขยายสาขาให้ครบ 80 สาขาภายในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยจัดแคมเปญสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดขึ้น เพื่อให้สินค้าตราท็อปส์มีราคาถูกกว่าสินค้าทั่วไป 10-20%
ปัจจุบันสินค้าตราท็อปส์มีสินค้าอยู่ 300 รายการ โดยปีนี้ได้เพิ่มรายการสินค้าอีก 20-30 รายการ เพื่อขยายไลน์สินค้าคอมมอดิตี้ ไอเท็ม อาทิ ข้าวสาร ไข่สด น้ำดื่ม กระดาษทิชชู ถุงพลาสติก น้ำมันพืช ซอส อาหารกระป๋อง เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นที่ผู้บริโภคไม่ได้ติดแบรนด์มากนัก และหลีกเลี่ยงที่จะผลิตสินค้าหมวดเฮลท์แอนด์บิวตี้ แข่งกับสินค้าแบรนด์เนมอย่างยูนิลีเวอร์ หรือ พีแอนด์จี ซึ่งลูกค้าติดแบรนด์ค่อนข้างสูง
สำหรับปีนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการชูคุณภาพสินค้าตราท็อปส์ให้เป็นสินค้าระดับพรีเมียมเทียบเท่าสินค้าแบรนด์เนม เนื่องจากมองว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของท็อปส์เป็นลูกค้าเกรดเอ โดยเริ่มต้นจากการลงทุนปรับเปลี่ยนแพ็คเกจของสินค้าตราท็อปส์ใหม่ทั้งหมด 300 รายการ หรือ Repackaging เพื่อให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ ตลอดจนมีการคัดเลือกซัปพลายเออร์เฉพาะที่เป็นมาร์เก็ตลีดเดอร์ หรือติด 1 ใน 5 ของตลาด อาทิ Kimberly Clark เป็นผู้ผลิตกระดาษทิชชูตราท็อปส์
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ในปีนี้แม็คโครมีแผนที่จะเพิ่มสินค้าเฮาส์แบรนด์ให้มากขึ้นอีกจากเดิมที่มีอยู่แล้ว เนื่องจากเล็งเห็นว่า ตลาดสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตขึ้น ทั้งเหตุผลที่มาจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง อีกทั้งการพัฒนาคุณภาพของสินค้าเฮาส์แบรนด์ให้ดีขึ้นตลอด
โดยแม็คโครมีแผนจะขยายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 400 รายการ จากเดิมที่มีอยู่ 1,500 รายการ จากสินค้าเฮ้าส์แลบรนด์ทั้งหมด 4 แบรนด์คือ แบรนด์ Aro (แอโร่) สำหรับสินค้าอุปโภค บริโภคระดับพรีเมี่ยม, Save Pack (เซฟแพ็ค), Q-Biz (คิวบิส) สำหรับอุปกรณ์เครื่องเขียน โดยมุ่งขยายไลน์สินค้าที่จะนำไปใช้ในกลุ่มร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม ร้านซักรีด ร้านค้าปลีก
ทั้งนี้ราคาสินค้าเฮาส์แบรนด์ของแม็คโครจะมีราคาถูกกว่าราคาสินค้าทั่วไป 15-25% เพื่อช่วยในการบริหารต้นทุนธุรกิจของลูกค้าให้ต่ำลง เนื่องจากไม่มีต้นทุนการโฆษณาและโปรโมชั่นต่างๆ อย่างไรก็ตาม แม็คโครได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ด้านต้นทุนสินค้าเหมือนกับสินค้าอื่นๆ แต่จะยืนราคาเดิมสำหรับสินค้าในสต็อกเดิมที่เคยตกลงไว้กับผู้ผลิตไปก่อน
นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัตร ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด (ซีเอฟอาร์) ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารร้านท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านมาร์เก็ตเพลส บาย ท็อปส์ และร้านซิตี้มาร์เก็ต บาย ท็อปส์ เปิดเผยว่า ตัวเลขการจับจ่ายซื้อสินค้าตราท็อปส์ในช่วงไตรมาสที่ 2 เติบโตขึ้นถึง 10% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันนับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ทำให้ผู้บริโภคคำนึงถึง Value for money มากขึ้น และมีการชิ๊ปจากการซื้อสินค้าทั่วไปมาเป็นการซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้สินเค้าตราท็อปจะเติบโตถึง 30%
นอกจากนั้นยังเป็นผลมาจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นของท็อปส์จากเดิม 47 สาขา เป็น 71 สาขาทั่วประเทศในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าจะขยายสาขาให้ครบ 80 สาขาภายในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยจัดแคมเปญสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดขึ้น เพื่อให้สินค้าตราท็อปส์มีราคาถูกกว่าสินค้าทั่วไป 10-20%
ปัจจุบันสินค้าตราท็อปส์มีสินค้าอยู่ 300 รายการ โดยปีนี้ได้เพิ่มรายการสินค้าอีก 20-30 รายการ เพื่อขยายไลน์สินค้าคอมมอดิตี้ ไอเท็ม อาทิ ข้าวสาร ไข่สด น้ำดื่ม กระดาษทิชชู ถุงพลาสติก น้ำมันพืช ซอส อาหารกระป๋อง เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นที่ผู้บริโภคไม่ได้ติดแบรนด์มากนัก และหลีกเลี่ยงที่จะผลิตสินค้าหมวดเฮลท์แอนด์บิวตี้ แข่งกับสินค้าแบรนด์เนมอย่างยูนิลีเวอร์ หรือ พีแอนด์จี ซึ่งลูกค้าติดแบรนด์ค่อนข้างสูง
สำหรับปีนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการชูคุณภาพสินค้าตราท็อปส์ให้เป็นสินค้าระดับพรีเมียมเทียบเท่าสินค้าแบรนด์เนม เนื่องจากมองว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของท็อปส์เป็นลูกค้าเกรดเอ โดยเริ่มต้นจากการลงทุนปรับเปลี่ยนแพ็คเกจของสินค้าตราท็อปส์ใหม่ทั้งหมด 300 รายการ หรือ Repackaging เพื่อให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ ตลอดจนมีการคัดเลือกซัปพลายเออร์เฉพาะที่เป็นมาร์เก็ตลีดเดอร์ หรือติด 1 ใน 5 ของตลาด อาทิ Kimberly Clark เป็นผู้ผลิตกระดาษทิชชูตราท็อปส์