โอสถสภาคลอดนโยบายนำทัพอุปโภคบริโภคสู่เวทีโลก หวังบาลานซ์รายได้ส่งออก-ภายในประเทศ 50:50 ซุ่มเงียบปั้นตลาดโกอินเตอร์ 2-3 ปี วางหมากเน้นร่วมมือกับพันธมิตร ดันเครื่องดื่มชูกำลังทะลวงยุโรป-อเมริกา สร้างตราสินค้าก่อน 5 ปีสยายปีกนำสินค้าอุปโภคตบเท้าตาม พร้อมเล็งตั้งดิสทริบิวชันต่อ ส่วนครึ่งปีหลังปรับแผนรับมือพิษน้ำมัน ปีหน้าเปิดแบรนด์ใหม่ลงตลาดเพอร์ซันนัลแคร์ สิ้นปีโอสถสภามาร์เก็ตติ้งกวาดรายได้ 2,000 ล้านบาท
แหล่งข่าวบริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังเอ็ม-150 และสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า นโยบายการทำตลาดของโอสถสภาต้องการก้าวไปสู่การทำตลาดระดับโลก โดยเฉพาะการก้าวไปสู่ตลาดยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นแผนในเชิงรุกมาตั้งแต่เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมาแล้ว แต่เพิ่งมารุกตลาดอย่างจริงจังในช่วง 2-3 ปีนี้ที่ผ่านมานี้ เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมในด้านทีมการตลาดแล้ว อีกทั้งยังได้จัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบดูแลทวีปต่างๆ อาทิ ยุโรป อเมริกา หรือกระทั่งเอเชียแปซิฟิกมากว่า 2-3 ปี เพื่อเข้ามาทำตลาดในทวีปต่างๆอย่างเข้มข้น จากปัจจุบันสัดส่วนของการส่งออกคิดเป็น 20-30% ของรายได้รวม โดยบริษัทวางเป้าหมายบาลานซ์รายได้ระหว่างภายในประเทศและต่างประเทศเป็น 50:50
สำหรับแผนการทำตลาด บริษัทจะนำกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์ เอ็ม-150 ลิโพ ฉลาม เอ็มแม็กซ์ แฮงค์ เป็นเรือธงในการทำตลาดในยุโรปและอเมริกาก่อน เนื่องจากเครื่องดื่มชูกำลังถือว่าเป็นสินค้าไทยที่มีชื่อเสียงมากในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา จากนั้นภายใน 5 ปีนี้บริษัทจะนำกลุ่มสินค้าอุปโภค ภายใต้แบรนด์เบบี้มายด์ ทเวลฟ์พลัส เอ็กซ์ซิส เข้าไปทำตลาดยุโรปและอเมริกาแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก จากปัจจุบันสินค้าอุปโภคเพิ่งเริ่มทำตลาดเฉพาะแค่เอเชียเท่านั้น และยังไม่ได้ทำตลาดอย่างจริงจัง ยกตัวอย่าง เบเบี้มายด์ส่งออกไปยัง 10 ประเทศในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง มีรายได้ 200 ล้านบาท
ทั้งนี้การทำตลาดต่างประเทศ บริษัทจะเน้นหาพันธมิตรทางการค้าในแต่ละประเทศ ซึ่งขณะนี้บริษัทมีดิสทริบิวชันในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังในทวีปยุโปรและอเมริกาครอบคลุมแล้ว ส่วนก้าวต่อไปบริษัทต้องการหาดิสทริบิวชันในกลุ่มสินค้าอุปโภคในทวีปยุโรปและอเมริกา
“การที่โอสถสภาจะก้าวสู่เวทีระดับโลก มองว่าตลาดของกินทำได้ง่ายมากกว่า เมื่อเทียบกับของใช้ยังต้องใช้เวลาในการสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากกว่า เพราะปัจจุบันมีแบรนด์ระดับโกลเบิลที่มีความแข็งแกร่งด้านตราสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเบบี้มายด์จะต้องแข่งขันกับจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับโลก อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้มีคนรู้จักโอสถสภาในฐานะเป็นสินค้าคนไทยเพิ่มมากขึ้น”
แหล่งข่าว กล่าวต่อถึงแผนการทำตลาดภายในประเทศในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า มีนโยบายอุดช่องว่างในการทำตลาดทั้งหมด อีกทั้งยังต้องมองหาโอกาสอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับรักษาจุดยืนเอาไว้ ขณะเดียวกันต้องปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ตลาด พิจารณาว่าช่วงไหนควรที่จะเปิดตัวสินค้าและถึงจะมีประสิทธิภาพในการทำตลาดได้มากกว่า
ซึ่งในปีนี้เฉพาะการทำตลาดสินค้ากลุ่มอุปโภค หรือโอสถสภามาร์เก็ตติ้งใช้งบการตลาด 30-40% ของรายได้ 2,000 ล้านบาทในการทำตลาด โดยไม่มีแผนตัดงบการตลาดลงแต่อย่างใด แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะไม่ค่อยดี แต่นโยบายของบริษัทวางไว้ว่าโอสถสภาจะต้องเป็นตราสินค้าของคนไทยที่มีความแข็งแกร่ง
ขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ยังได้เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่มากกว่า 10 รายการ โดยไม่มีการชะลอการเปิดตัวสินค้าใหม่ แต่เน้นการทำตลาดที่แม่นยำมากขึ้น ส่วนในปีหน้านี้ บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์เพอร์ซันนัลแคร์แบรนด์ใหม่ลงสู่ตลาด เจาะกลุ่มผู้ใหญ่เป็นหลัก จากปัจจุบันบริษัทมีสินค้าเจาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่นเท่านั้น โดยการเปิดตัวสินค้าใหม่ครั้งนี้เพื่อสนองนโยบายของบริษัท ที่ต้องการอุดช่องว่างในการทำตลาด โดยมีสินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับปีนี้โอสถสภามาร์เก็ตติ้ง หรือเฉพาะสินค้ากลุ่มอุปโภค ตั้งเป้ามีรายได้ 2,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แบ่งรายได้เป็นทเวลฟ์พลัสและเอ็กซ์ซิส 1,000 ล้านบาท ส่วนเบบี้มายด์ 1,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากสินค้าอุปโภค คิดเป็น 20-30% ของรายได้รวมของโอสถสภาทั้งหมด ส่วนของกินหรือกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง ประกอบด้วย เอ็ม-150 ฉลาม ลิโพ เอ็มแม็กซ์ แฮงค์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 70-80%
แหล่งข่าวบริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังเอ็ม-150 และสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า นโยบายการทำตลาดของโอสถสภาต้องการก้าวไปสู่การทำตลาดระดับโลก โดยเฉพาะการก้าวไปสู่ตลาดยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นแผนในเชิงรุกมาตั้งแต่เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมาแล้ว แต่เพิ่งมารุกตลาดอย่างจริงจังในช่วง 2-3 ปีนี้ที่ผ่านมานี้ เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมในด้านทีมการตลาดแล้ว อีกทั้งยังได้จัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบดูแลทวีปต่างๆ อาทิ ยุโรป อเมริกา หรือกระทั่งเอเชียแปซิฟิกมากว่า 2-3 ปี เพื่อเข้ามาทำตลาดในทวีปต่างๆอย่างเข้มข้น จากปัจจุบันสัดส่วนของการส่งออกคิดเป็น 20-30% ของรายได้รวม โดยบริษัทวางเป้าหมายบาลานซ์รายได้ระหว่างภายในประเทศและต่างประเทศเป็น 50:50
สำหรับแผนการทำตลาด บริษัทจะนำกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์ เอ็ม-150 ลิโพ ฉลาม เอ็มแม็กซ์ แฮงค์ เป็นเรือธงในการทำตลาดในยุโรปและอเมริกาก่อน เนื่องจากเครื่องดื่มชูกำลังถือว่าเป็นสินค้าไทยที่มีชื่อเสียงมากในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา จากนั้นภายใน 5 ปีนี้บริษัทจะนำกลุ่มสินค้าอุปโภค ภายใต้แบรนด์เบบี้มายด์ ทเวลฟ์พลัส เอ็กซ์ซิส เข้าไปทำตลาดยุโรปและอเมริกาแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก จากปัจจุบันสินค้าอุปโภคเพิ่งเริ่มทำตลาดเฉพาะแค่เอเชียเท่านั้น และยังไม่ได้ทำตลาดอย่างจริงจัง ยกตัวอย่าง เบเบี้มายด์ส่งออกไปยัง 10 ประเทศในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง มีรายได้ 200 ล้านบาท
ทั้งนี้การทำตลาดต่างประเทศ บริษัทจะเน้นหาพันธมิตรทางการค้าในแต่ละประเทศ ซึ่งขณะนี้บริษัทมีดิสทริบิวชันในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังในทวีปยุโปรและอเมริกาครอบคลุมแล้ว ส่วนก้าวต่อไปบริษัทต้องการหาดิสทริบิวชันในกลุ่มสินค้าอุปโภคในทวีปยุโรปและอเมริกา
“การที่โอสถสภาจะก้าวสู่เวทีระดับโลก มองว่าตลาดของกินทำได้ง่ายมากกว่า เมื่อเทียบกับของใช้ยังต้องใช้เวลาในการสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากกว่า เพราะปัจจุบันมีแบรนด์ระดับโกลเบิลที่มีความแข็งแกร่งด้านตราสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเบบี้มายด์จะต้องแข่งขันกับจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับโลก อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้มีคนรู้จักโอสถสภาในฐานะเป็นสินค้าคนไทยเพิ่มมากขึ้น”
แหล่งข่าว กล่าวต่อถึงแผนการทำตลาดภายในประเทศในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า มีนโยบายอุดช่องว่างในการทำตลาดทั้งหมด อีกทั้งยังต้องมองหาโอกาสอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับรักษาจุดยืนเอาไว้ ขณะเดียวกันต้องปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ตลาด พิจารณาว่าช่วงไหนควรที่จะเปิดตัวสินค้าและถึงจะมีประสิทธิภาพในการทำตลาดได้มากกว่า
ซึ่งในปีนี้เฉพาะการทำตลาดสินค้ากลุ่มอุปโภค หรือโอสถสภามาร์เก็ตติ้งใช้งบการตลาด 30-40% ของรายได้ 2,000 ล้านบาทในการทำตลาด โดยไม่มีแผนตัดงบการตลาดลงแต่อย่างใด แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะไม่ค่อยดี แต่นโยบายของบริษัทวางไว้ว่าโอสถสภาจะต้องเป็นตราสินค้าของคนไทยที่มีความแข็งแกร่ง
ขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ยังได้เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่มากกว่า 10 รายการ โดยไม่มีการชะลอการเปิดตัวสินค้าใหม่ แต่เน้นการทำตลาดที่แม่นยำมากขึ้น ส่วนในปีหน้านี้ บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์เพอร์ซันนัลแคร์แบรนด์ใหม่ลงสู่ตลาด เจาะกลุ่มผู้ใหญ่เป็นหลัก จากปัจจุบันบริษัทมีสินค้าเจาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่นเท่านั้น โดยการเปิดตัวสินค้าใหม่ครั้งนี้เพื่อสนองนโยบายของบริษัท ที่ต้องการอุดช่องว่างในการทำตลาด โดยมีสินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับปีนี้โอสถสภามาร์เก็ตติ้ง หรือเฉพาะสินค้ากลุ่มอุปโภค ตั้งเป้ามีรายได้ 2,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แบ่งรายได้เป็นทเวลฟ์พลัสและเอ็กซ์ซิส 1,000 ล้านบาท ส่วนเบบี้มายด์ 1,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากสินค้าอุปโภค คิดเป็น 20-30% ของรายได้รวมของโอสถสภาทั้งหมด ส่วนของกินหรือกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง ประกอบด้วย เอ็ม-150 ฉลาม ลิโพ เอ็มแม็กซ์ แฮงค์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 70-80%