“มอร์แกน” มองตลาดไทยมีศักยภาพใช้เป็นฐานผลิตเสื้อในส่งออก เล็งส่งออกกระเป๋าในปีหน้า ชี้ครึ่งปีหลังปรับเกมรับภาวะเศรษฐกิจ ด้วยการลดราคาเสื้อผ้าให้ถูกลง 30% พร้อมขยายชอปเพิ่มรวม 9 แห่งทั้งร้านเสื้อผ้า ชุดชั้นในและกระเป๋า
นายปิแอร์ อาร์เนิร์ต ผู้บริหารมอร์แกน จากฝรั่งเศส ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าแฟชั่น เช่น เสื้อผ้า ,กระเป๋า และชุดชั้นใน เปิดเผยว่า ธุรกิจแฟชั่นไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพดีและมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้หญิงไทยมีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เดินทางบ่อยขึ้นและมีความเป็นแฟชั่นสูง รวมถึงการหาข้อมูลการแต่งตัวจากทั่วโลกมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทแม่มีการซับพอร์ตหรือสนับสนุนตลาดไทยในเรื่องของการดีไซน์ ,เทรนด์สินค้า ,คอนเซ็ปต์ของร้าน และการบริหารทางการตลาด
นางสาวมารินทร์ ลีลานุวัฒน์ ผู้จัดการด้านการตลาด บริษัทมอร์แกนเดอทัว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯมีแผนนำเข้าสินค้ากลุ่มเสื้อผ้ามากขึ้น และพิจารณาลดราคาสินค้าบางกลุ่มให้ถูกลง 30% เช่น เสื้อผ้าเบสิคที่มีระดับราคา 2 พันบาท เพื่อรองรับการแข่งขันในตลาดที่มีความยากขึ้น ล่าสุดได้มีการเจรจากับบริษัทแม่ของมอร์แกนที่ฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้วในการลดต้นทุนสินค้าบางอย่างด้วยการย้ายแวร์เฮาท์การผลิตเสื้อผ้าจากฝรั่งเศสมาอยู่ที่ฮ่องกง เนื่องจากฮ่องกงได้เปรียบในส่วนของภาษีที่ปีหน้าจะลดลงจาก 33% เหลือ 20%
"ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อแบรนด์มอร์แกนบ้าง แต่เนื่องจากสินค้าของเราเป็นกลุ่มแฟชั่นที่ผู้หญิงยังต้องการใช้อยู่ จึงไม่กระทบมาก ขณะที่กำลังซื้อของลูกค้าอาจมีบ้างที่ชะลอตัวลง"
ผลิตภัณฑ์มอร์แกนกลุ่มเสื้อผ้ายังต้องนำเข้าจากฝรั่งเศส ส่วนชุดชั้นในไทยผลิตเอง ซึ่งมีส่งออกไปแล้วยัง 5 ประเทศ เช่น ฮ่องกง,สิงคโปร์, อินโดนีเซีย,เกาหลี และไต้หวัน ขณะที่น้องใหม่กระเป๋าที่เริ่มวางขายเมื่อปลายปีที่แล้ว มองว่าเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวสูงสุดดังนั้นปีหน้าเตรียมส่งออกกระเป๋า รวมถึงยังมีแผนนำแอสเซ็ตทอรี่อื่นๆ จากบริษัทแม่เข้ามาวางขายในไทย เช่น รองเท้า เป็นต้น โดยกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์จะเป็นผู้หญิงที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงและมีอายุ 25 ปีขึ้นไป เพราะราคาสินค้าจะอยู่ในระดับ 2,400 บาทในกลุ่มเสื้อผ้า ส่วนชุดชั้นใน 700 บาท และกระเป๋า 300 บาท
ปีนี้บริษัทมีแผนการขยายชอปเพิ่มตามห้าง แบ่งเป็นร้านเสื้อผ้า 13 แห่ง จากเดิมมี 11 แห่ง ร้านชุดชั้นใน 15 แห่งจาก13 แห่งและร้านกระเป๋า 14 แห่งจาก 9 แห่ง ภายใต้งบลงทุนสาขาละประมาณ 4ล้านบาท บนพื้นที่ 150 ตร.ม. ล่าสุดเตรียมเปิดร้านที่เซ็นทรัล ลาดพร้าวและปีหน้าเตรียมเปิดที่เซ็นทรัล เวิลด์ ปีหน้าเตรียมรุกต่างจังหวัดมากขึ้น เช่น เชียงใหม่,พัทยา
ขณะที่ฐานลูกค้าหลักของมอร์แกนยังเป็นคนกรุงเทพฯเป็นหลัก โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนประมาณ 4,000 บาทต่อครั้ง
ยอดรายได้ปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 150-160 ล้านบาท คิดเป็นยอดขายเสื้อผ้า 50% ชุดชั้นใน 30% และกระเป๋า 20% ส่วนรายได้ครึ่งปีแรกที่ผ่านมามียอดรายได้โตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน300-400% เนื่องจากแบรนด์เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน สิ้นปีคาดว่าจะโต 300%
นายปิแอร์ อาร์เนิร์ต ผู้บริหารมอร์แกน จากฝรั่งเศส ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าแฟชั่น เช่น เสื้อผ้า ,กระเป๋า และชุดชั้นใน เปิดเผยว่า ธุรกิจแฟชั่นไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพดีและมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้หญิงไทยมีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เดินทางบ่อยขึ้นและมีความเป็นแฟชั่นสูง รวมถึงการหาข้อมูลการแต่งตัวจากทั่วโลกมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทแม่มีการซับพอร์ตหรือสนับสนุนตลาดไทยในเรื่องของการดีไซน์ ,เทรนด์สินค้า ,คอนเซ็ปต์ของร้าน และการบริหารทางการตลาด
นางสาวมารินทร์ ลีลานุวัฒน์ ผู้จัดการด้านการตลาด บริษัทมอร์แกนเดอทัว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯมีแผนนำเข้าสินค้ากลุ่มเสื้อผ้ามากขึ้น และพิจารณาลดราคาสินค้าบางกลุ่มให้ถูกลง 30% เช่น เสื้อผ้าเบสิคที่มีระดับราคา 2 พันบาท เพื่อรองรับการแข่งขันในตลาดที่มีความยากขึ้น ล่าสุดได้มีการเจรจากับบริษัทแม่ของมอร์แกนที่ฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้วในการลดต้นทุนสินค้าบางอย่างด้วยการย้ายแวร์เฮาท์การผลิตเสื้อผ้าจากฝรั่งเศสมาอยู่ที่ฮ่องกง เนื่องจากฮ่องกงได้เปรียบในส่วนของภาษีที่ปีหน้าจะลดลงจาก 33% เหลือ 20%
"ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อแบรนด์มอร์แกนบ้าง แต่เนื่องจากสินค้าของเราเป็นกลุ่มแฟชั่นที่ผู้หญิงยังต้องการใช้อยู่ จึงไม่กระทบมาก ขณะที่กำลังซื้อของลูกค้าอาจมีบ้างที่ชะลอตัวลง"
ผลิตภัณฑ์มอร์แกนกลุ่มเสื้อผ้ายังต้องนำเข้าจากฝรั่งเศส ส่วนชุดชั้นในไทยผลิตเอง ซึ่งมีส่งออกไปแล้วยัง 5 ประเทศ เช่น ฮ่องกง,สิงคโปร์, อินโดนีเซีย,เกาหลี และไต้หวัน ขณะที่น้องใหม่กระเป๋าที่เริ่มวางขายเมื่อปลายปีที่แล้ว มองว่าเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวสูงสุดดังนั้นปีหน้าเตรียมส่งออกกระเป๋า รวมถึงยังมีแผนนำแอสเซ็ตทอรี่อื่นๆ จากบริษัทแม่เข้ามาวางขายในไทย เช่น รองเท้า เป็นต้น โดยกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์จะเป็นผู้หญิงที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงและมีอายุ 25 ปีขึ้นไป เพราะราคาสินค้าจะอยู่ในระดับ 2,400 บาทในกลุ่มเสื้อผ้า ส่วนชุดชั้นใน 700 บาท และกระเป๋า 300 บาท
ปีนี้บริษัทมีแผนการขยายชอปเพิ่มตามห้าง แบ่งเป็นร้านเสื้อผ้า 13 แห่ง จากเดิมมี 11 แห่ง ร้านชุดชั้นใน 15 แห่งจาก13 แห่งและร้านกระเป๋า 14 แห่งจาก 9 แห่ง ภายใต้งบลงทุนสาขาละประมาณ 4ล้านบาท บนพื้นที่ 150 ตร.ม. ล่าสุดเตรียมเปิดร้านที่เซ็นทรัล ลาดพร้าวและปีหน้าเตรียมเปิดที่เซ็นทรัล เวิลด์ ปีหน้าเตรียมรุกต่างจังหวัดมากขึ้น เช่น เชียงใหม่,พัทยา
ขณะที่ฐานลูกค้าหลักของมอร์แกนยังเป็นคนกรุงเทพฯเป็นหลัก โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนประมาณ 4,000 บาทต่อครั้ง
ยอดรายได้ปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 150-160 ล้านบาท คิดเป็นยอดขายเสื้อผ้า 50% ชุดชั้นใน 30% และกระเป๋า 20% ส่วนรายได้ครึ่งปีแรกที่ผ่านมามียอดรายได้โตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน300-400% เนื่องจากแบรนด์เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน สิ้นปีคาดว่าจะโต 300%