อธิบดีกรมการค้าภายในชี้ราคาก๊าซหุงต้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 2 บาทต่อกิโลกรัม กระทบอาหารสำเร็จรูปมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียง 0.066 บาทต่อจานเท่านั้น ส่วนรถแท็กซี่กระทบต่อวันเฉลี่ย 80 บาท ย้ำร้านก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ไม่มีเหตุผลปรับราคาขายขึ้น แนะผู้โภคแจ้งสายด่วนแม่บ้าน 1569
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลจะมีการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มอีก 2 บาท/กิโลกรัม ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ว่า กรมการค้าภายในได้ศึกษาผลกระทบต่อกรณีดังกล่าวไว้แล้ว โดยรถแท็กซี่วิ่งระยะทาง 600 กิโลเมตรต่อวันจะใช้ก๊าซถึง 40 กิโลกรัม จะได้ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 80 บาท/วัน ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนที่ใช้ก๊าซขนาดบรรจุ 15 กิโลกรัม จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 30 บาท/เดือน หรือเพิ่มจากราคาถังละ 252 บาท เป็น 282 บาท
ทั้งนี้ ในส่วนร้านค้าประกอบอาหารสำเร็จรูป เช่น อาหารจานด่วน จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.066 บาทต่อจานเท่านั้น สินค้าลำไยอบแห้ง ซึ่งสัดส่วนลำไย 1 กิโลกรัมจะใช้ก๊าซในการอบแห้ง 0.50 กิโลกรัมจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 1 บาท/กิโลกรัม สินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ ยากำจัดแมลง (140 กรัม/กระป๋อง) กระทบต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.26 บาท/กระป๋อง สีสเปรย์ (ขนาด 80 กรัม/กระป๋อง) กระทบ 0.148 บาท/กระป๋อง และอื่นๆ
“อาหารปรุงสำเร็จขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง จะมีต้นทุนเพิ่มเพียง 6 สตางค์ ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ร้านค้าหรือผู้ประกอบการต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายสินค้าขึ้น จึงอยากเตือนให้ร้านค้าและผู้ประกอบการควรตระหนักก่อนที่จะปรับราคาขายอาหาร ว่าเป็นการเหมาะสมกับต้นทุนหรือไม่ หรือหากประชาชนพบเห็นร้านค้าใดมีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาไม่สมเหตุผลให้แจ้งร้องมาได้ที่สายด่วนแม่บ้าน 1569 ทันที หากพบว่ากระทำผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายปรับเป็นเงินไม่เกิน 140,000 บาท หรือจำคุก 7 ปี หรือทั้งปรับทั้งจำ” นายศิริพลกล่าว
นายศิริพลกล่าวอีกว่า สำหรับรายการสินค้าใดที่ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ขอให้เสนอเรื่องมายังกรมการค้าภายในได้พิจารณา หากเห็นว่าได้รับผลกระทบต่อต้นทุนจริง กรมการค้าภายในจะอนุมัติให้ปรับเพิ่มราคาสินค้าได้ตามต้นทุนที่แท้จริง แต่ขณะนี้กรมการค้าภายในไม่สามารถบอกได้ว่ามีกลุ่มรายการสินค้าใดที่ได้รับผลกระทบบ้าง เพราะหากประกาศออกไปก่อนจะเป็นการชี้นำ แต่กรมการค้าภายในมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย หากได้รับผลกระทบต่อต้นทุนจริงก็ต้องปล่อยให้ปรับราคาสินค้าขึ้นไป แต่หากพิจารณาแล้วไม่ได้กระทบต้นทุนมากมายก็คงไม่อนุมัติให้ปรับขึ้นเพาะจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคได้
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลจะมีการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มอีก 2 บาท/กิโลกรัม ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ว่า กรมการค้าภายในได้ศึกษาผลกระทบต่อกรณีดังกล่าวไว้แล้ว โดยรถแท็กซี่วิ่งระยะทาง 600 กิโลเมตรต่อวันจะใช้ก๊าซถึง 40 กิโลกรัม จะได้ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 80 บาท/วัน ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนที่ใช้ก๊าซขนาดบรรจุ 15 กิโลกรัม จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 30 บาท/เดือน หรือเพิ่มจากราคาถังละ 252 บาท เป็น 282 บาท
ทั้งนี้ ในส่วนร้านค้าประกอบอาหารสำเร็จรูป เช่น อาหารจานด่วน จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.066 บาทต่อจานเท่านั้น สินค้าลำไยอบแห้ง ซึ่งสัดส่วนลำไย 1 กิโลกรัมจะใช้ก๊าซในการอบแห้ง 0.50 กิโลกรัมจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 1 บาท/กิโลกรัม สินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ ยากำจัดแมลง (140 กรัม/กระป๋อง) กระทบต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.26 บาท/กระป๋อง สีสเปรย์ (ขนาด 80 กรัม/กระป๋อง) กระทบ 0.148 บาท/กระป๋อง และอื่นๆ
“อาหารปรุงสำเร็จขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง จะมีต้นทุนเพิ่มเพียง 6 สตางค์ ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ร้านค้าหรือผู้ประกอบการต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายสินค้าขึ้น จึงอยากเตือนให้ร้านค้าและผู้ประกอบการควรตระหนักก่อนที่จะปรับราคาขายอาหาร ว่าเป็นการเหมาะสมกับต้นทุนหรือไม่ หรือหากประชาชนพบเห็นร้านค้าใดมีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาไม่สมเหตุผลให้แจ้งร้องมาได้ที่สายด่วนแม่บ้าน 1569 ทันที หากพบว่ากระทำผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายปรับเป็นเงินไม่เกิน 140,000 บาท หรือจำคุก 7 ปี หรือทั้งปรับทั้งจำ” นายศิริพลกล่าว
นายศิริพลกล่าวอีกว่า สำหรับรายการสินค้าใดที่ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ขอให้เสนอเรื่องมายังกรมการค้าภายในได้พิจารณา หากเห็นว่าได้รับผลกระทบต่อต้นทุนจริง กรมการค้าภายในจะอนุมัติให้ปรับเพิ่มราคาสินค้าได้ตามต้นทุนที่แท้จริง แต่ขณะนี้กรมการค้าภายในไม่สามารถบอกได้ว่ามีกลุ่มรายการสินค้าใดที่ได้รับผลกระทบบ้าง เพราะหากประกาศออกไปก่อนจะเป็นการชี้นำ แต่กรมการค้าภายในมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย หากได้รับผลกระทบต่อต้นทุนจริงก็ต้องปล่อยให้ปรับราคาสินค้าขึ้นไป แต่หากพิจารณาแล้วไม่ได้กระทบต้นทุนมากมายก็คงไม่อนุมัติให้ปรับขึ้นเพาะจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคได้