xs
xsm
sm
md
lg

คาดอีกไม่นานตลาดน้ำมันล่มสลาย!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รอยเตอร์/เอเอฟพี - มอร์แกน สแตนเลย์ระบุราคาน้ำมันโลกอยู่ใน "ความโกลาหลช่วงสุดท้าย" ก่อนที่จะเกิดการล่มสลายของตลาดน้ำมัน เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการหันไปใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น

แอนดี้ เซี่ย นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนเลย์ในฮ่องกง ระบุในรายงานวานนี้ (16) ว่า "จากหลักฐานเรื่องดีมานด์อ่อนตัวและการสะสมน้ำมันจำนวนมาก อาจทำให้ตลาดเกิดความตื่นตระหนก ผมเชื่อว่าจะมีการปรับตัวตามที่คาดกันไว้ นั่นก็คืออาจเกิดการล่มสลายของตลาด"

ทั้งนี้การคาดการณ์ดังกล่าวที่มองว่าจะเกิดวงจรขาลงในตลาดน้ำมันหลายปีนั้น เป็นสิ่งตรงข้ามกับการคาดการณ์ของโกลด์แมน แซคส์เมื่อ 3 เดือนก่อน ที่เชื่อว่าตลาดน้ำมันจะทะยานขึ้นอย่างมาก

อนึ่ง ราคาน้ำมันเติบโตร้อนแรงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจนถึงครึ่งแรกของปีนี้ โดยดีดตัวขึ้น 28% นับตั้งแต่เดือนมกราคมอยู่ที่กว่า 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ท่ามกลางความหวาดวิตกว่าโรงกลั่นที่เดินเครื่องอย่างเต็มกำลังแล้วจะต้องดิ้นรนผลิตน้ำมันออกมาให้เพียงพอต่อความต้องการในครึ่งหลังของปีนี้

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โกลด์แมน แซคส์ โกลบัล อินเวสต์เมนต์ รีเสิร์ชระบุในรายงานว่า ตลาดน้ำมันได้เข้าสู่ช่วง "ซูเปอร์สไปก์" หรือพุ่งขึ้นอย่างแรง ซึ่งอาจเหมือนกับช่วงทศวรรษ 1970 ที่ราคาน้ำมันทะยานสูงถึง 105 ดอลลาร์

โกลด์แมน แซคส์ระบุอีกว่า ดีมานด์ที่ยืดหยุ่นในสหรัฐฯ และจีนทั้งๆ ที่ราคาแพง ได้ผลักดันให้ทั้ง 2 ประเทศหันมาทบทวนการคาดการณ์ของตนใหม่ พร้อมคาดว่าราคาน้ำมันแพงอาจดำรงอยู่หลายปีกว่าจะทำให้ดีมานด์ชะลอตัวและมีการเพิ่มกำลังการผลิตสำรองในระบบที่ตึงตัว

กระนั้นก็ดี เซี่ยกล่าวว่ามาตรการการเพิ่มประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน รวมถึงทางเลือกพลังงานอื่น อาทิ ก๊าซเหลวและถ่านหิน ได้ส่งผลทำให้ดีมานด์น้ำมันลดลงแล้ว

เขาอธิบายว่า "เนื่องจากบรรดาผู้ผลิตเพิ่มการผลิตจากแหล่งพลังงานทางเลือกมากขึ้น...ราคาน้ำมันจึงอาจอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลาหลายปี หลังจากที่วงจรทางเศรษฐกิจปัจจุบันเข้าสู่ช่วงขาลง" พร้อมเสริมว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจเกิดขึ้นในไตรมาส 4 และส่งผลให้ภาวะฟองสบู่ตลาดน้ำมันแตกได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีมานด์จากจีน ซึ่งคิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของการเพิ่มขึ้นของดีมานด์โลกเมื่อปีที่แล้ว อาจโป่งพองขึ้นจากเศรษฐกิจที่ร้อนแรง ทว่าการนำเข้าน้ำมันโดยรวมของแดนมังกรในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ลดลง 1.2%

เซี่ยบอกว่า ยอดการนำเข้าดังกล่าวอาจดิ่งลงอีกในปีหน้า เนื่องจากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จะช่วยป้องกันไฟฟ้าดับ อันเป็นปัจจัยทำให้ดีมานด์น้ำมันดีเซลและน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2004 พุ่งขึ้น

นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์เมื่อปีที่แล้วก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น และดอลลาร์อ่อนค่าก็จูงใจให้บรรดาเฮดจ์ฟันด์เข้ามาลงทุนเก็งกำไร กระนั้นก็ดีสถานการณ์ดังกล่าวได้บรรเทาลง เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 8 เดือนเมื่อเทียบยูโร

เซี่ยระบุในรายงานอีกว่า จากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ตลาดน้ำมันอาจถูกกำหนดให้ล่มสลายในที่สุด โดยการที่สถาบันการเงินพึ่งพากับการซื้อขายในตลาดน้ำมันมากขึ้น ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บรรดากองทุนเก็งกำไรต่างหันมาเล่นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้น และมักถูกองค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ตำหนิว่าเป็นผู้ทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง

เขาย้ำว่า "พวกกองทุนเหล่านี้จะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นจนตลาดล่มสลาย และวันนั้นไม่ไกลเกินไปนัก ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้อาจเป็นความโกลาหลช่วงสุดท้าย"

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของรอยเตอร์จากความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ 29 ราย พบว่าราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ 48.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 44.18 ดอลลาร์ในปีหน้า

อนึ่ง ราคาน้ำมันดิบไลท์ สวีต สัญญาส่งมอบเดือนกรกฎาคมที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันพุธ (15) เพิ่มขึ้น 57 เซ็นต์ ปิดที่ 55.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบชนิดเบรนท์ที่ตลาดลอนดอนดีดตัวขึ้น 77 เซ็นต์ อยู่ที่ 54.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แม้ว่าโอเปกได้ประกาศเพิ่มเพดานการผลิตขึ้นอีก 500,000 บาร์เรลต่อวันก็ตาม
กำลังโหลดความคิดเห็น