ดับเบิ้ลเอรุกหนักผลิตภัณฑ์เครื่องเขียน วางเป้าเปิดตัวครบ 3,000 รูปแบบสิ้นปีนี้ เป้ารายได้ 1,000 ล้านบาทในอีก 2 ปี ล่าสุดซื้อลิขสิทธิ์แบทแมน 3 เวอร์ชันผลิตสินค้าชุดใหม่ เล็งส่งออกต่างประเทศเพิ่มเป็น 10 ประเทศในสิ้นปีนี้
นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด ดับเบิ้ลเอ กล่าวว่า ขณะนี้ดับเบิ้ลเอเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนที่ผลิตจากกระดาษภายใต้แบรนด์ดับเบิ้ลเออย่างเต็มที่ เนื่องจากเล็งเห็นถึงความนิยมของคุณภาพและรูปแบบของสินค้าจากกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และพนักงานออฟฟิศ ซึ่งผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนของดับเบิ้ลเอจะเน้นคอนเซ็ปต์ More Function More Design
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนภายใต้แบรนด์ดับเบิ้ลเอมีสินค้าแล้วจำนวน 1,000 รูปแบบสินค้า และตั้งเป้าหมายพัฒนารูปแบบสินค้าให้ครบ 3,000 รูปแบบภายในสิ้นปีนี้ โดยคาดว่าการรุกตลาดเครื่องเขียนทั้งในและต่างประเทศนี้จะช่วยดับเบิ้ลเอมีรายได้จากผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนสูงขึ้นจากยอดขายปัจจุบัน 100 ล้านบาทต่อปี เป็น 1,000 ล้านบาทต่อปีภายในปี 2550 หรือภายใน 2 ปีข้างหน้านี้
“ตอนนี้ดับเบิ้ลเอยังหันมาสนใจกับการเลือกซื้อภาพลิขสิทธิ์ในระดับสากล เนื่องจากจะทำให้เป็นที่นิยมในตลาดอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ล่าสุดได้เซ็นสัญญากับบริษัท สตูดิโอ ไลเซนซิ่ง จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์สินค้า เพื่อจัดทำเครื่องเขียนชุดใหม่ในชุดแบทแมนเป็นซีรีส์แรก เพราะเป็นคาแรกเตอร์ที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมกันทั่วโลก โดยได้ซื้อลิขสิทธิ์ใน 3 เวอร์ชันคือแบทเมน บีกินส์, แบทแมนชุดการ์ตูนแอนนิเมชัน และแบทแมนเวอร์ชันคอมมิกส์” นายชาญวิทย์กล่าว
สำหรับผลิตภัณฑ์ชุดเครื่องเขียนแบทแมนนี้สินค้าชุดแรกจะประกอบด้วยสินค้ามากกว่า 36 รูปแบบ 9 ชนิด คือ สมุดรายงาน 25 แผ่น และ 40 แผ่น, สมุดบันทึกมุงหลังคา 40 แผ่น, สมุดบันทึกสันกาว 24 แผ่น และ 40 แผ่น, สมุดบันทึกสันห่วงขนาด A5 และ A6, สมุดปกแข็งสันห่วง และเมาส์ โน้ตแพด ทั้งหมดนี้ผลิตล็อตแรกเป็นจำนวนมากกว่า 5 แสนชิ้น และมั่นใจว่าจะจำหน่ายหมดภายใน 1 เดือน โดยจะวางจำหน่ายในทุกช่องทาง อาทิ ร้านดับเบิ้ลเอ สเตชันเนอรี ศูนย์ดับเบิ้ลเอ ก๊อปปี้ เซ็นเตอร์ ห้างสรรพสินค้าและร้านจำหน่ายเครื่องเขียนทั่วประเทศ
นายชาญวิทย์ กล่าวเพิ่มว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนของดับเบิ้ลเอนี้มีการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ ขณะนี้ได้ทำตลาดไปแล้ว 5 ประเทศคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี และเตรียมที่จะไปเปิดตลาดในออสเตรเลียและเนเธอร์แลนด์ด้วย ซึ่งภายในปีนี้จะเพิ่มให้ได้ถึง 10 ประเทศ