รอยเตอร์/เอเอฟพี - ทำเนียบขาวปรับลดอัตราเติบโตปีนี้ลงเล็กน้อย พร้อมเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้ออันเป็นผลจากราคาน้ำมัน แต่ยืนยันเศรษฐกิจสหรัฐฯยังขยายตัวแข็งแรงและในจังหวะที่ยั่งยืน
ในรายงานคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจรอบกลางปีที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธ (8) ทำเนียบขาวระบุว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มีแนวโน้มขยายตัว 3.4% ในปีนี้ จากที่คาดการณ์ไว้ 3.5% เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ฮาร์วี โรเซน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว กล่าวว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัว และการคาดการณ์ล่าสุดส่วนใหญ่สอดคล้องกับการคาดการณ์เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ขณะที่จอห์น สโนว์ รัฐมนตรีคลัง สำทับว่า พื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความมั่นคง
กระนั้น หากการคาดการณ์ของทำเนียบขาวถูกต้อง จะเท่ากับว่าเศรษฐกิจแดนอินทรีลดความร้อนแรงลงจาก 3.8% ในไตรมาสส่งท้ายปี 2004 และ 4.4 % สำหรับตลอดปีที่แล้ว
นอกจากนั้น ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุชยังให้สัมภาษณ์เครือข่ายฟ็อกซ์ นิวส์ว่า มีสัญญาณปัญหาปรากฏอยู่บ้าง โดยอ้างอิงความจำเป็นในการออกกฎหมายพลังงานและภาวะน้ำมันแพง
ในรายงาน ทำเนียบขาวปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อประจำปี 2005 เป็น 2.9% จาก 2.0% พร้อมระบุว่าเป็นผลจากความผันผวนของราคาน้ำมัน
โรเซนแจงว่า อัตราเงินเฟ้อของปีนี้และปีหน้าจะสูงกว่าที่เคยคาดไว้เล็กน้อย โดยพิจารณาจากพัฒนาการที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนนี้ ทว่า ตัวเลขจะเดินหน้าในจังหวะค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม เขาออกตัวว่าคงยากที่จะชี้ได้ว่าราคาน้ำมันขึ้นถึงระดับสูงสุดแล้วหรือยัง แต่ยอมรับว่าต้นทุนพลังงานที่แพงขึ้นเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต
"อย่างที่ประธานาธิบดีว่าคือ ไม่มีไม้เท้าวิเศษมาช่วยแก้ปัญหา แต่มีบางสิ่งที่เราทำได้ในระยะกลางและระยะยาว เช่น กฎหมายพลังงานที่ท่านเสนอมา"
ทั้งนี้ ต้นทุนพลังงานที่ถีบตัวสูงขึ้นหนุนราคาผู้บริโภคขยับขึ้น 3.5% ในรอบ 12 เดือนจนถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ทำเนียบขาวคาดว่า แนวโน้มขาขึ้นดังกล่าวคงไม่ยืดเยื้อนานนัก
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นรวม 8 ครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เพื่อผ่อนคลายความกดดันด้านเงินเฟ้อ และเป็นที่คาดหมายว่า จะมีการปรับเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมต่อไปในปีนี้ แต่จังหวะการปรับน่าจะชะลอลง
ทำเนียบขาวยังคาดว่า จะมีการว่าจ้างพนักงานเพิ่มเดือนละ 178,000 ตำแหน่งตลอดปีปัจจุบัน โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีมีการจ้างงานเฉลี่ย 179,600 ตำแหน่งต่อเดือน ส่วนอัตราว่างงานเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 5.2% เทียบกับ 5.3% ที่คาดไว้เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
โรเซนเสริมว่า ความล้มเหลวในการลดการขาดดุลงบประมาณ คงอัตราภาษีในระดับต่ำ หรือยังคงเปิดกว้างรับการค้าเสรี ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่สุดต่อการคาดการณ์นี้
อนึ่ง รายงานการคาดการณ์ล่าสุดไม่ได้คำนวณตัวเลขคาดการณ์ยอดขาดดุลงบประมาณใหม่ไว้ด้วย โดยสำนักงานบริหารและงบประมาณแห่งทำเนียบขาวคาดตัวเลขสำหรับปีงบประมาณปัจจุบันไว้ที่ 427,000 ล้านดอลลาร์
โรเซนยังบอกอีกว่า การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของทำเนียบขาวสะท้อนทัศนะของตลาดที่ว่า อัตราดอกเบี้ยจะขยับขึ้นต่อไป โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรคลังระยะ 91 วันคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5% ในปี 2007 จาก 3.01% เมื่อวันที่ 3 เดือนนี้
สำหรับแนวโน้มระยะยาว ทำเนียบขาวคาดว่าจีดีพีจะชะลอลงอยู่ที่ 3.1% ในปี 2009-2010 ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.4% ระหว่างปี 2006-2010
"แนวโน้มการชะลอตัวเป็นผลจากการเติบโตของกลุ่มประชากรสูงวัย และการปลดเกษียณของคนรุ่นที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2" ทำเนียบขาวกล่าวทิ้งท้ายไว้ในรายงาน
ในรายงานคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจรอบกลางปีที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธ (8) ทำเนียบขาวระบุว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มีแนวโน้มขยายตัว 3.4% ในปีนี้ จากที่คาดการณ์ไว้ 3.5% เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ฮาร์วี โรเซน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว กล่าวว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัว และการคาดการณ์ล่าสุดส่วนใหญ่สอดคล้องกับการคาดการณ์เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ขณะที่จอห์น สโนว์ รัฐมนตรีคลัง สำทับว่า พื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความมั่นคง
กระนั้น หากการคาดการณ์ของทำเนียบขาวถูกต้อง จะเท่ากับว่าเศรษฐกิจแดนอินทรีลดความร้อนแรงลงจาก 3.8% ในไตรมาสส่งท้ายปี 2004 และ 4.4 % สำหรับตลอดปีที่แล้ว
นอกจากนั้น ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุชยังให้สัมภาษณ์เครือข่ายฟ็อกซ์ นิวส์ว่า มีสัญญาณปัญหาปรากฏอยู่บ้าง โดยอ้างอิงความจำเป็นในการออกกฎหมายพลังงานและภาวะน้ำมันแพง
ในรายงาน ทำเนียบขาวปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อประจำปี 2005 เป็น 2.9% จาก 2.0% พร้อมระบุว่าเป็นผลจากความผันผวนของราคาน้ำมัน
โรเซนแจงว่า อัตราเงินเฟ้อของปีนี้และปีหน้าจะสูงกว่าที่เคยคาดไว้เล็กน้อย โดยพิจารณาจากพัฒนาการที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนนี้ ทว่า ตัวเลขจะเดินหน้าในจังหวะค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม เขาออกตัวว่าคงยากที่จะชี้ได้ว่าราคาน้ำมันขึ้นถึงระดับสูงสุดแล้วหรือยัง แต่ยอมรับว่าต้นทุนพลังงานที่แพงขึ้นเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต
"อย่างที่ประธานาธิบดีว่าคือ ไม่มีไม้เท้าวิเศษมาช่วยแก้ปัญหา แต่มีบางสิ่งที่เราทำได้ในระยะกลางและระยะยาว เช่น กฎหมายพลังงานที่ท่านเสนอมา"
ทั้งนี้ ต้นทุนพลังงานที่ถีบตัวสูงขึ้นหนุนราคาผู้บริโภคขยับขึ้น 3.5% ในรอบ 12 เดือนจนถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ทำเนียบขาวคาดว่า แนวโน้มขาขึ้นดังกล่าวคงไม่ยืดเยื้อนานนัก
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นรวม 8 ครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เพื่อผ่อนคลายความกดดันด้านเงินเฟ้อ และเป็นที่คาดหมายว่า จะมีการปรับเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมต่อไปในปีนี้ แต่จังหวะการปรับน่าจะชะลอลง
ทำเนียบขาวยังคาดว่า จะมีการว่าจ้างพนักงานเพิ่มเดือนละ 178,000 ตำแหน่งตลอดปีปัจจุบัน โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีมีการจ้างงานเฉลี่ย 179,600 ตำแหน่งต่อเดือน ส่วนอัตราว่างงานเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 5.2% เทียบกับ 5.3% ที่คาดไว้เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
โรเซนเสริมว่า ความล้มเหลวในการลดการขาดดุลงบประมาณ คงอัตราภาษีในระดับต่ำ หรือยังคงเปิดกว้างรับการค้าเสรี ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่สุดต่อการคาดการณ์นี้
อนึ่ง รายงานการคาดการณ์ล่าสุดไม่ได้คำนวณตัวเลขคาดการณ์ยอดขาดดุลงบประมาณใหม่ไว้ด้วย โดยสำนักงานบริหารและงบประมาณแห่งทำเนียบขาวคาดตัวเลขสำหรับปีงบประมาณปัจจุบันไว้ที่ 427,000 ล้านดอลลาร์
โรเซนยังบอกอีกว่า การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของทำเนียบขาวสะท้อนทัศนะของตลาดที่ว่า อัตราดอกเบี้ยจะขยับขึ้นต่อไป โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรคลังระยะ 91 วันคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5% ในปี 2007 จาก 3.01% เมื่อวันที่ 3 เดือนนี้
สำหรับแนวโน้มระยะยาว ทำเนียบขาวคาดว่าจีดีพีจะชะลอลงอยู่ที่ 3.1% ในปี 2009-2010 ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.4% ระหว่างปี 2006-2010
"แนวโน้มการชะลอตัวเป็นผลจากการเติบโตของกลุ่มประชากรสูงวัย และการปลดเกษียณของคนรุ่นที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2" ทำเนียบขาวกล่าวทิ้งท้ายไว้ในรายงาน