รมช.คลังเผยทางการจีนรับปากที่จะประสานงานกับเอกชนที่รับซื้อลำไยจากไทย ให้ทำตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการวางเงินค้ำประกันและการตรวจสอบสภาพลำไยเพิ่มเติม
นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในโครงการลำไยแลกยานยนต์หุ้มเกราะล้อยางจากประเทศจีนว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ได้เชิญเอกอัครราชฑูตจีนประจำประเทศไทยเข้าหารือถึงความคืบหน้า หลังจากที่พบว่าบริษัทจีนที่รับซื้อลำไยอบแห้งในปี 2546-2547 จากไทยไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (เอ็มโอยู) โดยไม่ยอมวางเงินค้ำประกันจำนวนร้อยละ 10 ของมูลค่าลำไย รวมทั้งขอตรวจสอบสภาพลำไยเพิ่มเติมจากที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้รัฐบาลไทยเป็นห่วงว่าหากรัฐบาลจีนไม่ดำเนินการตามข้อตกลงจะทำให้เกิดปัญหาต่อผลผลิตลำไยในปี 2548 ที่กำลังจะออกสู่ท้องตลาดในปลายเดือนกรกฎาคมนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เอกอัครราชทูตจีนได้ยืนยันว่าจะเร่งประสานงานไปยังบริษัทจีนที่รับซื้อลำไยจากไทยให้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้ในเอ็มโอยู เพราะถือว่าการตกลงแลกเปลี่ยนสินค้ากันครั้งนี้เป็นการดำเนินการระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล เพราะฉะนั้นทุกเงื่อนไขต้องเป็นไปตามข้อตกลงเดิม ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็ได้ชี้แจงไปว่ารัฐบาลเก็บรักษาลำไยอย่างดี ซึ่งขั้นตอนการเก็บรักษาในโกดังสินค้านั้นมีผู้ถือกุญแจถึง 3 คน และคนที่ถือกุญแจต้องมาพร้อมกันถึง 3 คน ถึงจะเปิดโกดังได้ จึงไม่มีปัญหาเรื่องการปลอมปนสินค้าแน่นอน
นายวราเทพ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นคนละเรื่องกับการเปลี่ยนแบบเครื่องจักรที่จะใช้ในการมวนยาสูบของโรงงานยาสูบ เพราะเรื่องยาสูบยังไม่ได้มีการลงนามในสัญญาใด ๆ ระหว่างกัน เพียงแต่คณะกรรมการโรงงานยาสูบต้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงแบบเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต การมวน และการบรรจุบุหรี่ เนื่องจากบริษัทเอกชนจีนที่รับช่วงต่อจากรัฐบาลจีนได้ขอเปลี่ยนเงื่อนไขจากเดิมที่ระบุว่าเครื่องจักรต้องได้มาตรฐานและมีแหล่งกำเนิดของเครื่องจักรจากยุโรปและสหรัฐเป็นมาตรฐานเทียบเท่ายุโรปและสหรัฐ ส่วนแหล่งกำเนิดจะมาจากแหล่งใดก็ได้
นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในโครงการลำไยแลกยานยนต์หุ้มเกราะล้อยางจากประเทศจีนว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ได้เชิญเอกอัครราชฑูตจีนประจำประเทศไทยเข้าหารือถึงความคืบหน้า หลังจากที่พบว่าบริษัทจีนที่รับซื้อลำไยอบแห้งในปี 2546-2547 จากไทยไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (เอ็มโอยู) โดยไม่ยอมวางเงินค้ำประกันจำนวนร้อยละ 10 ของมูลค่าลำไย รวมทั้งขอตรวจสอบสภาพลำไยเพิ่มเติมจากที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้รัฐบาลไทยเป็นห่วงว่าหากรัฐบาลจีนไม่ดำเนินการตามข้อตกลงจะทำให้เกิดปัญหาต่อผลผลิตลำไยในปี 2548 ที่กำลังจะออกสู่ท้องตลาดในปลายเดือนกรกฎาคมนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เอกอัครราชทูตจีนได้ยืนยันว่าจะเร่งประสานงานไปยังบริษัทจีนที่รับซื้อลำไยจากไทยให้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้ในเอ็มโอยู เพราะถือว่าการตกลงแลกเปลี่ยนสินค้ากันครั้งนี้เป็นการดำเนินการระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล เพราะฉะนั้นทุกเงื่อนไขต้องเป็นไปตามข้อตกลงเดิม ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็ได้ชี้แจงไปว่ารัฐบาลเก็บรักษาลำไยอย่างดี ซึ่งขั้นตอนการเก็บรักษาในโกดังสินค้านั้นมีผู้ถือกุญแจถึง 3 คน และคนที่ถือกุญแจต้องมาพร้อมกันถึง 3 คน ถึงจะเปิดโกดังได้ จึงไม่มีปัญหาเรื่องการปลอมปนสินค้าแน่นอน
นายวราเทพ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นคนละเรื่องกับการเปลี่ยนแบบเครื่องจักรที่จะใช้ในการมวนยาสูบของโรงงานยาสูบ เพราะเรื่องยาสูบยังไม่ได้มีการลงนามในสัญญาใด ๆ ระหว่างกัน เพียงแต่คณะกรรมการโรงงานยาสูบต้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงแบบเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต การมวน และการบรรจุบุหรี่ เนื่องจากบริษัทเอกชนจีนที่รับช่วงต่อจากรัฐบาลจีนได้ขอเปลี่ยนเงื่อนไขจากเดิมที่ระบุว่าเครื่องจักรต้องได้มาตรฐานและมีแหล่งกำเนิดของเครื่องจักรจากยุโรปและสหรัฐเป็นมาตรฐานเทียบเท่ายุโรปและสหรัฐ ส่วนแหล่งกำเนิดจะมาจากแหล่งใดก็ได้