ทิส เวิลด์ไวด์ วางหมากสิ้นปีเทียบชั้นบาคาร์ดี้ผู้นำตลาดอาร์ทีดีกวาดแชร์ 50% ทุ่ม 90 ล้านบาท เร่งปรับโพซิชั่นนิ่ง "ครุยเซอร์-ไนท์" พร้อมปั้น "มาดส์เชก" อาร์ทีดีระดับซูเปอร์พรีเมี่ยมเสริมทัพครบไลน์ ตบเท้าเปิดตัว 4-5 รสชาติใหม่ปลายปีละเลงศึก ปูพรมเปิดตัวแคมเปญ "Cruising with Cruiser" กระตุ้นแชร์ครุยเซอร์เพิ่มเป็น 25%
นายเทพอาจ กวินอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิส เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง (1997) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (RTD) วอดก้า ครุยเซอร์ ไนท์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งเป้าไว้ว่าภายในสิ้นปีนี้ส่วนแบ่งการตลาดในตลาดอาร์ทีดีทั้งสองแบรนด์ ประกอบด้วย ไนท์และครุยเซอร์ จะเพิ่มจาก 45% เป็น 50% เทียบเท่ากับผู้นำตลาดบาคาร์ดี้ บรีซเซอร์ ซึ่งมีส่วนแบ่ง 50% จากปัจจุบันครุยเซอร์มีส่วนแบ่ง 20% และไนท์ 20% โดยแผนการทำตลาดภายใต้ 2 แบรนด์หลัก วอดก้า ครุยเซอร์ และไนท์ ปีนี้บริษัทจะปรับโพซิชั่นนิ่งของสินค้าให้ชัดเจนและแตกต่างกัน
ทั้งนี้ เนื่องจากทั้งสองกลุ่มผลิตภัณฑ์มีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเดียวกัน สำหรับครุยเซอร์มุ่งเน้นตอกย้ำภาพลักษณ์สินค้าในเรื่องของการท่องเที่ยวและธรรมชาติ นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทยังได้เตรียมเปิดรสชาติใหม่ในไตรมาสสี่ของปีนี้เพิ่ม 2-3 รสชาติ จากปัจจุบันมี 3 รสชาติ โดยปีนี้ใช้งบทำตลาด 45 ล้านบาท
ล่าสุดได้ทุ่มงบ 7 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ "Cruising with Cruiser" โดยมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายไปยังตลาดออนพรีมิส หรือสถานบันเทิง ผับ บาร์ ในขณะที่ออฟพรีมิสหรือตามโมเดิร์นเทรดกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา สำหรับแคมเปญดังกล่าวจะพาผู้โชคดี 30 คน ไปแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ 3 แบบ ประกอบด้วย รีแลก แอคทีฟ และปาร์ตี้ นอกจากนี้ยังได้เตรียมสื่อโฆษณา ณ จุดขาย เพื่อสื่อสารถึงโพซิชั่นนิ่งดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งคาดว่าแคมเปญนี้ผลักดันให้ครุยเซอร์ มีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 20% เป็น 25%จากมูลค่าตลาด 1,000 ล้านบาท
"การทำแคมเปญในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเพิ่มช่องทางในการทำแคมเปญในช่องทางออนพรีมิส ซึ่งจากเดิมกิจกรรมการตลาดจะเน้นช่องทางออฟพรีมิสเป็นหลักมากกว่า โดยสัดส่วนยอดขายของครุยเซอร์ มาจากออนพรีมิส 40% และออฟพรีมิส 60%"
นโยบายการทำตลาดบริษัทจะให้ความสำคัญกับไนท์มากกว่าครุยเซอร์ เนื่องจากมีโอกาสทางการตลาดมากกว่า ด้วยรสชาติของสินค้าและราคาที่เหมาะสมกับกำลังการซื้อของคนไทย คือ 49 บาท ในขณะที่ครุยเซอร์ 55 บาท โดยไนท์บริษัทมีแผนที่จะปรับโพซิซันนิงใหม่ เพื่อโฟกัสกลุ่มเป้าหมายให้แตกต่างจากครุยเซอร์และให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยใช้งบการตลาดใช้ 45 ล้านบาท
บริษัทจะปรับภาพกลุ่มคนดื่มไนท์เป็นที่ชอบเที่ยวสถานบันเทิงในยามราตรี ทำให้ไนท์เป็นอินเตอร์แบรนด์มากขึ้น จากเดิมกลุ่มเป้าหมายมองว่าเป็นแบรนด์ธรรมดา อีกทั้งยังได้เตรียมเปิดสินค้ารุ่น"ลิมิเต็ด" 2 รสชาติ ได้แก่ เดวิล สปุกกี้ ในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ จากปัจจุบันมี 4 รสชาติ
รวมถึงการขยายฐานกลุ่มผู้ดื่มไนท์ไปสู่กลุ่มผู้ชายมากขึ้นจาก 20% เพิ่มเป็น 40% ภายหลังจากที่เปิดตัวรสชาติใหม่ จากเดิมเป็นผู้หญิง 80% เหลือ 60% และเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ดื่มครุยเซอร์เป็นผู้ชาย 30% และหญิง 70% ทั้งนี้เมื่อเทียบตลาดอาร์ดีทีต่างประเทศกลุ่มผู้ดื่มเป็นผู้หญิงและชายเท่ากัน50:50 ขณะเดียวกันปีนี้มีแผนขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น เช่น ออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้รายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มจาก 30%เป็น50% หลังจากที่เปิดตลาด 12 ประเทศ
บริษัทยังได้รุกทำตลาดเครื่องดื่มอาร์ทีดีตรา "มาดส์เชก" ระดับซูเปอร์พรีเมียมมากขึ้นตั้งแต่เดือนม.ค.ผ่านช่องทางออนพรีมิสระดับบีขึ้นไป มีด้วยกัน 4 รสชาติ ได้แก่ คาราเมล วาลิลา คาปูชิโน ชอกโกแลต โดยมีแอลกอฮอล์ 4 % เป็นมิ้ลก์ เชก ทั้งนี้การรุกผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อเสริมการทำตลาดให้ครอบคลุมและมีสินค้าที่ครบไลน์ สินค้าดังกล่าวนำเข้ามาจากประเทศสวิตเซอร์ แลนด์ ซึ่งหากได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีแผนที่จะนำมาผลิตในไทยในอนาคต
นายเทพอาจ กล่าวถึง ปัจจุบันสำหรับภาพรวมตลาดอาร์ทีดีมูลค่า 1,000 ล้านบาท ปีนี้หากไม่มีปัจจัยลบที่มากนัก คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตได้ 10% โดยตั้งแต่ปี 2547 หลังจากมาตรการภาครัฐเข้มงวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดอาร์ทีดีตกลง อีกทั้งผู้เล่นรายหลักเหลือน้อยราย รวมทั้งทำให้แผนการนำแพกเกจจิ้งใหม่เข้ามาทำตลาดของบริษัทต้องสะดุดลง ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องกระตุ้นตลาด เพื่อให้ตลาดเติบโต เนื่องจากข้อจำกัดของอาร์ทีดีที่มีลักษณะแฟชั่น อยู่นิ่งไม่ได้ ไม่เหมือนเหล้า วิสกี้ หรือเบียร์
นายเทพอาจ กวินอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิส เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง (1997) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (RTD) วอดก้า ครุยเซอร์ ไนท์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งเป้าไว้ว่าภายในสิ้นปีนี้ส่วนแบ่งการตลาดในตลาดอาร์ทีดีทั้งสองแบรนด์ ประกอบด้วย ไนท์และครุยเซอร์ จะเพิ่มจาก 45% เป็น 50% เทียบเท่ากับผู้นำตลาดบาคาร์ดี้ บรีซเซอร์ ซึ่งมีส่วนแบ่ง 50% จากปัจจุบันครุยเซอร์มีส่วนแบ่ง 20% และไนท์ 20% โดยแผนการทำตลาดภายใต้ 2 แบรนด์หลัก วอดก้า ครุยเซอร์ และไนท์ ปีนี้บริษัทจะปรับโพซิชั่นนิ่งของสินค้าให้ชัดเจนและแตกต่างกัน
ทั้งนี้ เนื่องจากทั้งสองกลุ่มผลิตภัณฑ์มีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเดียวกัน สำหรับครุยเซอร์มุ่งเน้นตอกย้ำภาพลักษณ์สินค้าในเรื่องของการท่องเที่ยวและธรรมชาติ นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทยังได้เตรียมเปิดรสชาติใหม่ในไตรมาสสี่ของปีนี้เพิ่ม 2-3 รสชาติ จากปัจจุบันมี 3 รสชาติ โดยปีนี้ใช้งบทำตลาด 45 ล้านบาท
ล่าสุดได้ทุ่มงบ 7 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ "Cruising with Cruiser" โดยมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายไปยังตลาดออนพรีมิส หรือสถานบันเทิง ผับ บาร์ ในขณะที่ออฟพรีมิสหรือตามโมเดิร์นเทรดกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา สำหรับแคมเปญดังกล่าวจะพาผู้โชคดี 30 คน ไปแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ 3 แบบ ประกอบด้วย รีแลก แอคทีฟ และปาร์ตี้ นอกจากนี้ยังได้เตรียมสื่อโฆษณา ณ จุดขาย เพื่อสื่อสารถึงโพซิชั่นนิ่งดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งคาดว่าแคมเปญนี้ผลักดันให้ครุยเซอร์ มีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 20% เป็น 25%จากมูลค่าตลาด 1,000 ล้านบาท
"การทำแคมเปญในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเพิ่มช่องทางในการทำแคมเปญในช่องทางออนพรีมิส ซึ่งจากเดิมกิจกรรมการตลาดจะเน้นช่องทางออฟพรีมิสเป็นหลักมากกว่า โดยสัดส่วนยอดขายของครุยเซอร์ มาจากออนพรีมิส 40% และออฟพรีมิส 60%"
นโยบายการทำตลาดบริษัทจะให้ความสำคัญกับไนท์มากกว่าครุยเซอร์ เนื่องจากมีโอกาสทางการตลาดมากกว่า ด้วยรสชาติของสินค้าและราคาที่เหมาะสมกับกำลังการซื้อของคนไทย คือ 49 บาท ในขณะที่ครุยเซอร์ 55 บาท โดยไนท์บริษัทมีแผนที่จะปรับโพซิซันนิงใหม่ เพื่อโฟกัสกลุ่มเป้าหมายให้แตกต่างจากครุยเซอร์และให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยใช้งบการตลาดใช้ 45 ล้านบาท
บริษัทจะปรับภาพกลุ่มคนดื่มไนท์เป็นที่ชอบเที่ยวสถานบันเทิงในยามราตรี ทำให้ไนท์เป็นอินเตอร์แบรนด์มากขึ้น จากเดิมกลุ่มเป้าหมายมองว่าเป็นแบรนด์ธรรมดา อีกทั้งยังได้เตรียมเปิดสินค้ารุ่น"ลิมิเต็ด" 2 รสชาติ ได้แก่ เดวิล สปุกกี้ ในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ จากปัจจุบันมี 4 รสชาติ
รวมถึงการขยายฐานกลุ่มผู้ดื่มไนท์ไปสู่กลุ่มผู้ชายมากขึ้นจาก 20% เพิ่มเป็น 40% ภายหลังจากที่เปิดตัวรสชาติใหม่ จากเดิมเป็นผู้หญิง 80% เหลือ 60% และเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ดื่มครุยเซอร์เป็นผู้ชาย 30% และหญิง 70% ทั้งนี้เมื่อเทียบตลาดอาร์ดีทีต่างประเทศกลุ่มผู้ดื่มเป็นผู้หญิงและชายเท่ากัน50:50 ขณะเดียวกันปีนี้มีแผนขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น เช่น ออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้รายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มจาก 30%เป็น50% หลังจากที่เปิดตลาด 12 ประเทศ
บริษัทยังได้รุกทำตลาดเครื่องดื่มอาร์ทีดีตรา "มาดส์เชก" ระดับซูเปอร์พรีเมียมมากขึ้นตั้งแต่เดือนม.ค.ผ่านช่องทางออนพรีมิสระดับบีขึ้นไป มีด้วยกัน 4 รสชาติ ได้แก่ คาราเมล วาลิลา คาปูชิโน ชอกโกแลต โดยมีแอลกอฮอล์ 4 % เป็นมิ้ลก์ เชก ทั้งนี้การรุกผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อเสริมการทำตลาดให้ครอบคลุมและมีสินค้าที่ครบไลน์ สินค้าดังกล่าวนำเข้ามาจากประเทศสวิตเซอร์ แลนด์ ซึ่งหากได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีแผนที่จะนำมาผลิตในไทยในอนาคต
นายเทพอาจ กล่าวถึง ปัจจุบันสำหรับภาพรวมตลาดอาร์ทีดีมูลค่า 1,000 ล้านบาท ปีนี้หากไม่มีปัจจัยลบที่มากนัก คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตได้ 10% โดยตั้งแต่ปี 2547 หลังจากมาตรการภาครัฐเข้มงวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดอาร์ทีดีตกลง อีกทั้งผู้เล่นรายหลักเหลือน้อยราย รวมทั้งทำให้แผนการนำแพกเกจจิ้งใหม่เข้ามาทำตลาดของบริษัทต้องสะดุดลง ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องกระตุ้นตลาด เพื่อให้ตลาดเติบโต เนื่องจากข้อจำกัดของอาร์ทีดีที่มีลักษณะแฟชั่น อยู่นิ่งไม่ได้ ไม่เหมือนเหล้า วิสกี้ หรือเบียร์