บีบีซี นิวส์ - สมาพันธ์ผู้ผลิตทองคำโลก (ดับเบิลยูจีซี) เผย การทำเหมืองทองคำกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้นทุกขณะสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
รายงาน "อะ ทัช ออฟ โกลด์" ของดับเบิลยูจีซีชี้ว่า การส่งออกทองคำจากประเทศที่มีหนี้สินจำนวนมากระหว่างปี 1994-2004 นั้นพุ่งสูงถึง 84% โดยในปี 2004 ประเทศกำลังพัฒนาเป็นผู้ผลิตทองคำมากถึง 72% ของปริมาณการผลิตทองคำทั่วโลก
เจมส์ เบอร์ตัน ประธานบริหารดับเบิลยูจีซีกล่าวว่า "อุตสาหกรรมทองกำลังทวีความสำคัญมากขึ้นสำหรับบรรดาประเทศที่มีหนี้สินมหาศาล"
รายงานเสริมว่า การส่งออกทองคำที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้บรรดาประเทศที่มีหนี้สินพะรุงพะรังอย่าง มาลีและกานา ต้องพึ่งพิงอุตสาหกรรมนี้มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดรายได้จากการส่งออกแล้ว อุตสาหกรรมนี้ยังช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างมากด้านโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมและการเงิน
ดับเบิลยูจีซีระบุอีกว่า บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่มักว่าจ้างคนงานและหาวัตถุดิบจากท้องถิ่น ขณะที่เงินค่าธรรมเนียมและรายได้จากภาษีต่างๆในธุรกิจนี้จะตกเป็นของรัฐ
เบอร์ตันยกตัวอย่างว่า "การศึกษาพบว่า คนงานเหมืองแร่แต่ละคนในแอฟริกาใต้ต้องหาเลี้ยงคนอื่นๆ อีกโดยเฉลี่ยถึง 10 คน" พร้อมเสริมว่า "โดยทั่วไป ทองคำมักเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคนร่ำรวย แต่รายงานฉบับล่าสุดนี้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ที่จริงแล้ว ทองคำมีความสำคัญมากกว่าสำหรับคนยากจน"
อนึ่ง ในปี 2003 ทองคำเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของประเทศมาลี หรือคิดเป็นสัดส่วน 59% ของการส่งออกสินค้าทั้งหมด ขณะที่คิดเป็น 44% ของสินค้าส่งออกจากแทนซาเนีย, 32% สำหรับกานา และ 26% สำหรับสาธารณรัฐสหกรณ์กายอานา
นอกจากนี้ ดับเบิลยูจีซียังเรียกร้องไม่ให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) นำทองคำสำรองที่มีออกมาขายเพื่อปลดหนี้สาธารณะให้แก่ประเทศยากจน เนื่องจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้ราคาทองคำตก และจะส่งผลกระทบต่อประเทศยากจนซึ่งพึ่งพิงการทำเหมืองแร่ทองคำ
จิล เลย์แลนด์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของดับเบิลยูจีซีชี้ว่า "ราคาทองที่ตกลง 10 ดอลลาร์ จะทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องสูญรายได้จากการส่งออกไปราว 75 ล้านดอลลาร์"
ทั้งนี้เบอร์ตันทิ้งท้ายว่า "อนาคตของความมั่งคั่งและการพัฒนาของชาติยากจนที่สุดในโลกนั้นขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของตลาดทองคำโลก"
รายงาน "อะ ทัช ออฟ โกลด์" ของดับเบิลยูจีซีชี้ว่า การส่งออกทองคำจากประเทศที่มีหนี้สินจำนวนมากระหว่างปี 1994-2004 นั้นพุ่งสูงถึง 84% โดยในปี 2004 ประเทศกำลังพัฒนาเป็นผู้ผลิตทองคำมากถึง 72% ของปริมาณการผลิตทองคำทั่วโลก
เจมส์ เบอร์ตัน ประธานบริหารดับเบิลยูจีซีกล่าวว่า "อุตสาหกรรมทองกำลังทวีความสำคัญมากขึ้นสำหรับบรรดาประเทศที่มีหนี้สินมหาศาล"
รายงานเสริมว่า การส่งออกทองคำที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้บรรดาประเทศที่มีหนี้สินพะรุงพะรังอย่าง มาลีและกานา ต้องพึ่งพิงอุตสาหกรรมนี้มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดรายได้จากการส่งออกแล้ว อุตสาหกรรมนี้ยังช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างมากด้านโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมและการเงิน
ดับเบิลยูจีซีระบุอีกว่า บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่มักว่าจ้างคนงานและหาวัตถุดิบจากท้องถิ่น ขณะที่เงินค่าธรรมเนียมและรายได้จากภาษีต่างๆในธุรกิจนี้จะตกเป็นของรัฐ
เบอร์ตันยกตัวอย่างว่า "การศึกษาพบว่า คนงานเหมืองแร่แต่ละคนในแอฟริกาใต้ต้องหาเลี้ยงคนอื่นๆ อีกโดยเฉลี่ยถึง 10 คน" พร้อมเสริมว่า "โดยทั่วไป ทองคำมักเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคนร่ำรวย แต่รายงานฉบับล่าสุดนี้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ที่จริงแล้ว ทองคำมีความสำคัญมากกว่าสำหรับคนยากจน"
อนึ่ง ในปี 2003 ทองคำเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของประเทศมาลี หรือคิดเป็นสัดส่วน 59% ของการส่งออกสินค้าทั้งหมด ขณะที่คิดเป็น 44% ของสินค้าส่งออกจากแทนซาเนีย, 32% สำหรับกานา และ 26% สำหรับสาธารณรัฐสหกรณ์กายอานา
นอกจากนี้ ดับเบิลยูจีซียังเรียกร้องไม่ให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) นำทองคำสำรองที่มีออกมาขายเพื่อปลดหนี้สาธารณะให้แก่ประเทศยากจน เนื่องจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้ราคาทองคำตก และจะส่งผลกระทบต่อประเทศยากจนซึ่งพึ่งพิงการทำเหมืองแร่ทองคำ
จิล เลย์แลนด์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของดับเบิลยูจีซีชี้ว่า "ราคาทองที่ตกลง 10 ดอลลาร์ จะทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องสูญรายได้จากการส่งออกไปราว 75 ล้านดอลลาร์"
ทั้งนี้เบอร์ตันทิ้งท้ายว่า "อนาคตของความมั่งคั่งและการพัฒนาของชาติยากจนที่สุดในโลกนั้นขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของตลาดทองคำโลก"