xs
xsm
sm
md
lg

"รัตน์"แจงเหตุหุ้นQHไม่ขยับสถาบันถือยาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายรัตน์ พานิชพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) QH เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น QH ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก ว่า มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากนักวิเคราะห์ และนักลงทุนมองว่า บริษัทมีหนี้เป็นจำนวนมาก โดยขณะนี้มีหนี้สินต่อทุน (D/E) 1.4 เท่า อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทมีหนี้สินจำนวนมาก เนื่องจากการที่บริษัทจะต้องใช้เงินทุนในอาคารสูงที่บริษัทมีอยู่ 10 อาคาร
ถ้าบริษัทมีการขายอาคารสูงออกไปในลักษณะขายขาดก็จะทำให้ D/E ของบริษัทเหลือไม่ถึง 0.5 เท่า
สำหรับวอร์แรนท์ (ใบสำคัญแสดงสิทธิ์) จำนวนมากที่ผ่านมา QH-W2 ได้มีการสิ้นสุดลงแล้ว ส่วน QH-W3 จะครบกำหนดปี 2549 และ QH-W4 จะครบกำหนดในอีก 3 ปี ทำให้นักลงทุนไม่เข้ามาลงทุน
นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นของบริษัทส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบันเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่ถือลงทุนระยะยาว โดยหากไม่นับรวม กลุ่ม บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่ถือยู่ 30%, GOVERNMENT OF SINGAPORE INVESTMENT CORPO ถือ 12-13%, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) บรูไน ที่ถือ 10% ซึ่งนับรวมแล้วกองทุนต่าง ๆ ถือหุ้นของบริษัทเกิน 50%
นายรัตน์ กล่าวว่า หุ้นของบริษัทเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แม้ในช่วงวิกฤติถึงปัจจุบันบริษัทไม่เคยได้รับการลดหนี้หรือ แฮร์คัท เลย เพราะธนาคารพาณิชย์เห็นว่าบริษัทมีรายได้จากค่าเช่ามาต่อเนื่องจึงไม่ลดหนี้ให้ ซึ่งบริษัทก็ไม่มีการร้องขออะไร เพียงแต่ทำให้ผลประกอบการที่ผ่านมาจะเติบโตต่อเนื่องแต่ไม่มีกำไรในส่วนของการได้ลดหนี้เหมือนคนอื่น
อย่างไรก็ดี หุ้น QH ก็เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดี มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องเป็น 3 ปี ติดต่อกัน ในอัตราประมาณ 50% ของกำไรสุทธิ ซึ่งลักษณะหุ้นของบริษัทนั้นไม่ใช่หุ้นเก็งกำไร
“ที่ราคาหุ้นของบริษัทจะมีการเคลื่อนไหวนั้น แต่เราก็หวังจะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลา และไม่อยากเห็นหุ้นของบริษัททำให้นักลงทุนขาดทุน เพราะการเข้ามาเก็งกำไร ส่วนหนี้ที่มีอยู่จำนวนสูงจาการลงทุนในตึกสูง 10 อาคารนั้นย่อมจะส่งผลดี เพราะเป็นรายได้ค่าเช่าที่จะมีเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งหากภาวะเศรษฐกิจไม่ดีบริษัทก็ยังจะมีรายได้จากค่าเช่า ทำให้ไม่ประสบปัญหาและหากภาวะเศรษฐกิจดีก็อาจะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่องแม้จะไม่หวือหวา”
นายรัตน์ กล่าวต่อว่า บริษัทจะมีการออกหุ้นกู้จำนวน 3,000 ล้านบาท แก่ประชาชนทั่วไป (PO) ประมาณ ก.ค.นี้ โดยจะนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้ ประมาณ 1,000 ล้านบาท และนำไปซื้อที่ดินประมาณ 2,000 ล้านบาท
บริษัทคาดรายได้ในไตรมาส 2/2548 จะเพิ่มขึ้นมากกว่าไตรมาส 2/2547 ที่มีรายได้ 1,708.96 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักภาษี (EBIDA) 289.79 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 255.45 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้บริษัทมียอดขายมากว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับรายได้ปี 2548 บริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปี 2547 ที่มีรายได้รวม 7,191.79 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักภาษี 1,083.10 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 964.70 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายมากเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทจะมีการเร่งขายโครงการให้จบปีนี้ 6-7 โครงการ แต่ตัวเลขกำไรสุทธิอาจจะใกล้เคียงกับปี 2547 เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะมีการจ่ายภาษี
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้การตัดสินใจซื้อบ้านนานขึ้น แต่ยังมีความต้องการในอัตราที่สูงอยู่ หากผู้บริโภคต้องการที่จะซื้อบ้านก็ควรที่จะรีบตัดสินใจ เพราะ ขณะนี้ราคาบ้านที่เป็นราคาวัตถุดิบเดิมยังมีอยู่แต่หากตัดสินใจช้าก็จะซื้อบ้านในราคาต้นทุนที่สูงขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น