xs
xsm
sm
md
lg

ผลสำรวจเมอร์ริลลินช์ชี้ผจก.กองทุน มองศก.โลกติดลบที่สุดนับตั้งแต่ปี 01

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รอยเตอร์ - ผลสำรวจของเมอร์ริล ลินช์ วาณิชธนกิจชื่อดังเมืองลุงแซมเผย นักลงทุนรู้สึกหดหู่เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าการเติบโตและผลกำไรของบริษัทจะถดถอยลงเช่นกัน

การสำรวจรายเดือนล่าสุดจากความคิดเห็นผู้จัดการกองทุนทั่วโลก 339 คนซึ่งดูแลสินทรัพย์ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ พบว่า ความคิดของบรรดานักลงทุนช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่การสำรวจเมื่อเดือนมีนาคมเปลี่ยนแปลงไปอย่าง "น่าใจหาย"
นักลงทุนมีความคาดหมายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในแง่ลบที่สุดนับตั้งแต่ปี 2001 และนักลงทุนจำนวนมากหันมาประเมินยุทธศาสตร์การลงทุนและมุมมองด้านเศรษฐกิจกันใหม่

เดวิด โบเวอร์ส หัวหน้านักวางแผนยุทธศาสตร์ระดับโลกของเมอร์ริล ลินช์กล่าวว่า "มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการมองเศรษฐกิจโลกของบรรดาผู้จัดการกองทุน"

ทั้งนี้ผลสำรวจของเมอร์ริล ลินช์ ระหว่างวันที่ 6-12 พฤษภาคมที่ผ่านมา อันเป็นช่วงก่อนการเปิดเผยตัวเลขค้าปลีกสหรัฐฯอันแข็งแกร่งประจำเดือนเมษายน ระบุว่า เสียงส่วนใหญ่ 56% คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะอ่อนแอลงเล็กน้อยหรืออ่อนแอลงมากในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เมื่อเทียบกับเสียง 50% และ 33% จากการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนและมีนาคมตามลำดับ

ในทางตรงกันข้าม ผู้จัดการกองทุนเพียง 23% เท่านั้นที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งลดลงจาก 31% ในเดือนเมษายนและ 45% ในเดือนมีนาคม

โบเวอร์สเผยอีกว่า ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่หรือราว 52% กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่ช่วงภาวะขาลงของวัฏจักรแล้ว
นอกจากนี้ ผลสำรวจสะท้อนว่า ผู้จัดการกองทุน 60% คาดว่าผลกำไรของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะลดลงเล็กน้อย ขณะที่ผลสำรวจเมื่อเดือนเมษายนอยู่ที่ 52% และมีนาคม 39%

ทั้งนี้ผลสำรวจคาดว่า รายได้ต่อหุ้นโดยเฉลี่ยทั่วโลกจะอยู่ที่ 5.1% เมื่อเทียบกับ 5.8% จากการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนและ 6.9% ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน แม้นักลงทุนส่วนมากคาดว่า ในปีหน้าภาวะเงินเฟ้อจะมีระดับสูงขึ้น แต่ก็ยังมีสัญญาณหลายประการชี้ว่า ความคาดหมายเหล่านี้กำลังบรรเทาลง กล่าวคือ ราว 61% เชื่อว่าเงินเฟ้อพื้นฐานทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับ 70% ในเดือนเมษายน และ 78% ในเดือนมีนาคม ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งคาดว่าภาวะเงินเฟ้อจะลดลง มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนอยู่ที่ 16%

ทัศนคติการลงทุน
นอกจากนี้ ทัศนคติด้านลบดังกล่าวยังสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงการเลือกสรรสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยลงในการลงทุน โดยผลสำรวจระบุว่า ผู้จัดการกองทุนถอยห่างจากการถือครองหุ้นลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเงินสดและหุ้นกู้ แต่ยังคงให้ความสำคัญอันดับ 1 กับการถือครองหุ้นและเงินสด และไม่ให้ความสำคัญมากนักกับการถือครองหุ้นกู้

ทั้งนี้ผลสำรวจพบว่า ราว 54% ให้ความสำคัญมากกับการลงทุนในหุ้น ซึ่งลดลงจาก 59% ในเดือนเมษายนและ 68% ในเดือนมีนาคม ขณะที่ประมาณ 17% ไม่เน้นการลงทุนในหุ้น เมื่อเทียบกับ 16% และ 9% ในช่วง 2 เดือนก่อนหน้าตามลำดับ

ในทางตรงข้าม ผู้จัดการที่ให้ความสำคัญกับหุ้นกู้มี 9% เพิ่มขึ้นจาก 7% ในเดือนเมษายนและ 8% ในมีนาคม ขณะที่ราว 60% ไม่เน้นการลงทุนในหุ้นกู้ ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับ 65% จากการสำรวจเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 25% เชื่อว่า ราคาหุ้นกู้ค่อนข้างยุติธรรมหรือต่ำกว่ามูลค่า ขณะที่ราว 83% เชื่อข้อความดังกล่าวเมื่อเปลี่ยนเป็นคำถามเกี่ยวกับหุ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น