เครือเบทาโกรแตกไลน์ตั้งบริษัท เพ็ท โฟกัส จำกัด เดินหน้ารุกตลาดอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงอย่างจริงจัง หลังพบว่าตลาดไทยเติบโตสูง 20-30% ล่าสุดส่งแบรนด์น้องใหม่ “ด็อก เอ็นจอย” บุกตลาดแมส หวังท้าชนเจ้าตลาด วาดฝัน 3 ปีขึ้นแท่นเบอร์ 2 แทนเครือซีพี พร้อมเล็งบุกตลาดเวียดนาม เผยปีนี้ลงทุนเพิ่ม 500 ล้านบาทสร้างโรงงานผลิตอาหารปลา คาดสร้างเสร็จปลายปี
นายนพพร วายุโชติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ เครือเบทาโกร เปิดเผยว่า ตลาดอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงในไทยมีอัตราการเติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 20-30% และเทรนด์ของผู้บริโภคให้ความสนใจกับการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงของตนมากขึ้น ประกอบกับเครือเบทาโกรมีความพร้อมและศักยภาพในการทำตลาดอาหารสำหรับสุนัข ดังนั้นจึงจัดตั้งบริษัท เพ็ท โฟกัส จำกัด ขึ้นด้วยทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท เมื่อ 2 ส.ค. 47 เพื่อผลิตอาหารสุนัขสำเร็จรูปชนิดเม็ดขึ้น ภายใต้แบรนด์ “ด็อก เอ็นจอย” ขายในช่องทางระดับแมสทั้งเทรดดิชั่นแนลและโมเดิร์นเทรดรวมกว่า 400 เอาท์เล็ต ในราคา 34-35 บาทต่อกิโลกรัม
ส่วนงบทางการตลาดสำหรับแบรนด์ “ด็อก เอ็นจอย” นี้ตั้งไว้ที่ 10 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 52 ล้านบาท โดยคาดว่าภายใน 3 ปี “ด็อก เอ็นจอย” จะสามารถก้าวขึ้นมาติดอันดับ 2 แทนแบรนด์ในเครือซีพีได้ จากปัจจัยต่างๆ อาทิ นโยบายฟู้ดส์เซฟตี้ของบริษัท และจากการที่เบทาโกรเป็นบริษัทที่ผลิตอาหารเพื่อสุนัขมากว่า 10 ปีและทำอาหารปศุสัตว์มานาน 38 ปี
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ “ด็อก เอ็นจอย” จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้และจะประชาสัมพันธ์แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในงาน “PET EXPO THAILAND 2005” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยงานจะเริ่มวันที่ 28-31 ก.ค. 48 สำหรับงานนี้มีบริษัทที่เข้าร่วมงานกว่า 150 บริษัท คาดจะมีผู้ร่วมงาน 7 หมื่นคน และจำนวนเงินสะพัดในงานกว่า 150 ล้านบาท
หลังจากนั้นบริษัทฯมีแผนส่ง“ด็อก เอ็นจอย” ไปขายยังต่างประเทศภายในปีนี้ เบื้องต้นเล็งทำตลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เนื่องจากมีวัฒนธรรมใกล้เคียงคนไทยและมีคนทำตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ไม่กี่ราย อีกทั้งตลาดในเวียดนามก็มีอัตราการโต 20-30%
ปัจจุบันบริษัทฯมีแบรนด์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง 4 แบรนด์ ได้แก่ กัสโต, ด็อกเมท,เบทเทอร์ ไดเอท ซึ่งเป็นกลุ่มสแตนด์ดาร์ด ราคาประมาณ กิโลกรัมละ 34-35 บาท ส่วนแบรนด์ริชชี่ จะมีราคาถูก กิโลกรัมละ 30-32 บาท โดยทุกแบรนด์จะขายผ่านช่องทางเพ็ทชอปและคลินิกเป็นหลัก และแบรนด์ล่าสุดแบรนด์ที่ 5 ด็อก แอนด์ จอย
นายนพพร กล่าวด้วยว่า ในปีนี้บริษัทฯยังได้ขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ด้วยการลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตอาหารปลาที่จ.ลพบุรี โดยสามารถผลิตอาหารปลาได้ 13,000 ตันต่อเดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ ซึ่งจากเดิมบริษัทฯใช้โรงงานผลิตแห่งเดียวที่ผลิตทั้งอาหารสุนัขและอาหารปลาที่จ.นครปฐม จึงทำให้กำลังผลิตยังไม่เต็มที่ ดังนั้นจึงต้องแยกโรงงานออกมาเพื่อขยายกำลังผลิตได้อย่างเต็มที่
สำหรับยอดรายได้ปีนี้ในส่วนของอาหารสัตว์ตั้งเป้ารวมทั้งหมด 250 ล้านบาท ขณะที่ปีที่แล้วมียอดรายได้ 100 ล้านบาท ส่วนตลาดรวมของสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันมีมูลค่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอาหารกระป๋อง 300 ล้านบาท และอาหารเม็ด 2,700 ล้านบาท ซึ่งทุกปีจะมีการเติบโตประมาณ 20-25% ผู้นำตลาด คือ เพดดีกรี มีส่วนแบ่งทางการตลาด 20-30% และอันดับ 2 เครือซีพีที่มีแบรนด์อยู่ 5-6 แบรนด์
นายนพพร วายุโชติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ เครือเบทาโกร เปิดเผยว่า ตลาดอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงในไทยมีอัตราการเติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 20-30% และเทรนด์ของผู้บริโภคให้ความสนใจกับการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงของตนมากขึ้น ประกอบกับเครือเบทาโกรมีความพร้อมและศักยภาพในการทำตลาดอาหารสำหรับสุนัข ดังนั้นจึงจัดตั้งบริษัท เพ็ท โฟกัส จำกัด ขึ้นด้วยทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท เมื่อ 2 ส.ค. 47 เพื่อผลิตอาหารสุนัขสำเร็จรูปชนิดเม็ดขึ้น ภายใต้แบรนด์ “ด็อก เอ็นจอย” ขายในช่องทางระดับแมสทั้งเทรดดิชั่นแนลและโมเดิร์นเทรดรวมกว่า 400 เอาท์เล็ต ในราคา 34-35 บาทต่อกิโลกรัม
ส่วนงบทางการตลาดสำหรับแบรนด์ “ด็อก เอ็นจอย” นี้ตั้งไว้ที่ 10 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 52 ล้านบาท โดยคาดว่าภายใน 3 ปี “ด็อก เอ็นจอย” จะสามารถก้าวขึ้นมาติดอันดับ 2 แทนแบรนด์ในเครือซีพีได้ จากปัจจัยต่างๆ อาทิ นโยบายฟู้ดส์เซฟตี้ของบริษัท และจากการที่เบทาโกรเป็นบริษัทที่ผลิตอาหารเพื่อสุนัขมากว่า 10 ปีและทำอาหารปศุสัตว์มานาน 38 ปี
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ “ด็อก เอ็นจอย” จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้และจะประชาสัมพันธ์แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในงาน “PET EXPO THAILAND 2005” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยงานจะเริ่มวันที่ 28-31 ก.ค. 48 สำหรับงานนี้มีบริษัทที่เข้าร่วมงานกว่า 150 บริษัท คาดจะมีผู้ร่วมงาน 7 หมื่นคน และจำนวนเงินสะพัดในงานกว่า 150 ล้านบาท
หลังจากนั้นบริษัทฯมีแผนส่ง“ด็อก เอ็นจอย” ไปขายยังต่างประเทศภายในปีนี้ เบื้องต้นเล็งทำตลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เนื่องจากมีวัฒนธรรมใกล้เคียงคนไทยและมีคนทำตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ไม่กี่ราย อีกทั้งตลาดในเวียดนามก็มีอัตราการโต 20-30%
ปัจจุบันบริษัทฯมีแบรนด์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง 4 แบรนด์ ได้แก่ กัสโต, ด็อกเมท,เบทเทอร์ ไดเอท ซึ่งเป็นกลุ่มสแตนด์ดาร์ด ราคาประมาณ กิโลกรัมละ 34-35 บาท ส่วนแบรนด์ริชชี่ จะมีราคาถูก กิโลกรัมละ 30-32 บาท โดยทุกแบรนด์จะขายผ่านช่องทางเพ็ทชอปและคลินิกเป็นหลัก และแบรนด์ล่าสุดแบรนด์ที่ 5 ด็อก แอนด์ จอย
นายนพพร กล่าวด้วยว่า ในปีนี้บริษัทฯยังได้ขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ด้วยการลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตอาหารปลาที่จ.ลพบุรี โดยสามารถผลิตอาหารปลาได้ 13,000 ตันต่อเดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ ซึ่งจากเดิมบริษัทฯใช้โรงงานผลิตแห่งเดียวที่ผลิตทั้งอาหารสุนัขและอาหารปลาที่จ.นครปฐม จึงทำให้กำลังผลิตยังไม่เต็มที่ ดังนั้นจึงต้องแยกโรงงานออกมาเพื่อขยายกำลังผลิตได้อย่างเต็มที่
สำหรับยอดรายได้ปีนี้ในส่วนของอาหารสัตว์ตั้งเป้ารวมทั้งหมด 250 ล้านบาท ขณะที่ปีที่แล้วมียอดรายได้ 100 ล้านบาท ส่วนตลาดรวมของสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันมีมูลค่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอาหารกระป๋อง 300 ล้านบาท และอาหารเม็ด 2,700 ล้านบาท ซึ่งทุกปีจะมีการเติบโตประมาณ 20-25% ผู้นำตลาด คือ เพดดีกรี มีส่วนแบ่งทางการตลาด 20-30% และอันดับ 2 เครือซีพีที่มีแบรนด์อยู่ 5-6 แบรนด์