รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมหารือกับกระทรวงพาณิชย์ปรับปรุงกฎหมายใหม่เพิ่มความทันสมัยและเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนมากขึ้น พร้อมมอบหมายให้บีโอไอเป็นศูนย์กลางประสานงานอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างชาติ ยืนยันจะดูแลอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยชักจูงให้เข้ามาลงทุน ไม่ให้ได้รับผลกระทบหลังจากการเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการหารือกับหอการค้าต่างประเทศจำนวน 25 ประเทศ โดยมีนายสาธิต ศิริรังคมานนท์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) Mr. Peter van Haren ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทยเข้าร่วม โดยมีการรับฟังความคิดเห็นถึงปัญหา อุปสรรค จากนักลงทุนต่างชาติ เพื่อนำมาแก้ไขเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในไทยมากขึ้น
นายวัฒนา กล่าวว่า หอการค้าต่างประเทศเสนอแนะให้ไทยปรับปรุงกฏหมายหอการค้าให้มีความทันสมัยมากขึ้น หลังจากที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2509 ซึ่งมีข้อจำกัดมากมาย และไม่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมก็รับจะไปหารือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง นอกจากนี้ ยังจะให้บีโอไอเป็นศูนย์กลางประสานงานและอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทย เพราะที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติไม่ได้รับความสะดวกในการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น เนื่องจากมีปัญหาด้านภาษา จึงมอบหน้าที่นี้ให้บีโอไอเป็นศูนย์กลางช่วยเหลือนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะต้องมีการเพิ่มอำนาจในการตัดสินใจในบางเรื่องให้กับบีโอไอ โดยเฉพาะการติดต่อประสานงานเรื่องการซื้อที่ดิน ซื้อที่อยู่อาศัย และภาษีศุลกากร
"หอการค้าต่างประเทศต้องการให้บีโอไอเป็นตัวกลางที่คอยประสานงานและอำนวยความสะดวกในทุกด้าน เมื่อเข้ามาลงทุนในไทย เพราะที่ผ่านมาเกิดปัญหาและอุปสรรคในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งบีโอไอก็รับที่จะไปจัดตั้งหน่วยพิเศษขึ้นมาทำหน้าที่ดังกล่าว แต่ก็ต้องขอให้เพิ่มอำนาจในการตัดสินใจบางเรื่องให้บีโอไอด้วยและให้มีการแก้ไขกฎหมายบางฉบับที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น กฎหมายผังเมือง เพราะเคยมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์จากต่างประเทศจะเข้ามาตั้งโรงถ่ายในไทย แต่ติดปัญหาว่า พื้นที่ซึ่งต้องการลงทุนเป็นพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์จึงไม่สามารถทำได้" นายวัฒนา กล่าว
นอกจากนี้ หอการค้าต่างประเทศยังได้สอบถามถึงนโยบายของรัฐบาลต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ หลังการเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนายวัฒนา ชี้แจงว่ารัฐบาลจะดูแลอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยชักจูงให้เข้ามาลงทุนในไทย ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเอฟทีเออย่างแน่นอน เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ประเทศไทยตั้งเป้าหมายจะเป็นดีทรอยต์ออฟเอเชีย และได้รวบรวมข้อท้วงติงของทุกฝ่ายในการเปิดเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น แจ้งให้หัวหน้าคณะเจรจาทราบแล้ว และได้ย้ำกับนักลงทุนว่าหากนักลงทุนมีปัญหาและอุปสรรคใดต้องการให้รัฐบาลแก้ไขก็ยินดี เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติประสบความสำเร็จในการเข้าลงทุนในไทย สร้างกำไรและขยายการลงทุนในไทยต่อไป