เดอะมอลล์ระบุตลาดชุดนักเรียนปี 2548 โต 15-20% คาดเม็ดเงินสะพัดทั่วประเทศกว่า 4 หมื่นล้านบาท เร่งจัดแคมเปญ Back To School รับกระแส ชี้กลุ่มผู้ปกครองภาระมาก หันใช้สินเชื่อ เงินผ่อน บัตรเครดิตรูดอุปกรณ์การเรียน ยังมั่นใจทั้งปีโตตามเป้า 8%
นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่สายการตลาด และนายสฤษดิพงษ์ รัตนาพต ผู้อำนวยการใหญ่สายบริการสินค้า บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสินค้าชุดนักเรียน และอุปกรณ์การเรียนในปี 2548 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 4,700 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 15-20% ซึ่งมาจากการที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น และกลุ่มนักเรียนโต ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงมีสัดส่วนมากกว่าเด็กเล็ก อีกทั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดนี้มีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น และมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก แม้ว่าผู้ประกอบการทุกรายจะต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นประมาณ 10-20%
นอกจากนี้การที่รัฐบาลขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้าและสินค้ากลุ่มชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียนถือเป็นสินค้าจำเป็นที่ต้องควบคุมราคา ส่งผลให้ในปีนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในช่วงเปิดเทอมจะมีเม็ดเงินการใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาทั่วประเทศประมาณ 46,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าเล่าเรียน 50% และอีก 50% เป็นค่าเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อุปกรณ์การเรียนอื่นๆ
ปีนี้คาดว่าในส่วนของบัตรเครดิตจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีภาระค่าใช้จ่ายหลายด้านเพิ่มสูงขึ้น โดยจากการสำรวจการใช้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์การเรียนภายในเดอะมอลล์ทุกสาขาเมื่อปี 2547 พบว่า ผู้บริโภคใช้จ่ายด้วยเงินสด 70% บัตรเครดิต 30% แต่ปีนี้คาดว่าสัดส่วนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อครั้งปีนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเฉลี่ยที่ประมาณ 570 บาท เพราะสินค้ามีราคาคงที่
ล่าสุด เดอะมอลล์ได้เปิดตัวแคมเปญ "Thailand Biggest Back To School 2005" ขึ้นระหว่างวันที่ 21 เม.ย. - 18 พ.ค. นี้ รวม 28 วัน ภายใต้งบประมาณ 15 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 175 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากยอดขายปี 2547 ที่มีมูลค่า 150 ล้านบาท โดยพื้นที่ขายสินค้าดังกล่าวในแต่ละสาขาแตกต่างกันมีตั้งแต่ 600 - 5,000 ตร.ม. กว่า 60,000 รายการ รวมกว่า 60 แบรนด์
ทั้งนี้ ข้อมูลจากการจัดงานแบ็ก ทู สคูลเมื่อปี 2547 พบว่า จำนวนลูกค้าที่มาซื้อสินค้าในงานดังกล่าวรวมประมาณ 300,000 คน 90% มาซื้อสินค้า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ปกครองผู้หญิงสูงถึง 70% ลูกค้าที่มาเดินซื้อสินค้าส่วนใหญ่ มีบุตร 1-2 คน สูงถึง 70% แบ่งเป็น กลุ่มเด็กเรียนประถม 50% เด็กอนุบาล 20% และอื่นๆ 30% โดยสินค้ากลุ่มรองเท้า ถุงเท้า เข็มขัดมีสัดส่วนการซื้อนับเป็นจำนวนชิ้นสูงถึง 50% ชุดนักเรียน 30% และอื่นๆ 20%
ปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตได้ 8-10% ตามเป้าหมาย แต่หากมีปัจจัยลบที่จะส่งผลทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อก็เชื่อจะสามารถเติบโตได้อย่างน้อยสุดไม่ต่ำกว่า 6% โดยไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโต 8% แต่เมื่อเทียบกับปี 2547 ถือว่าอัตราการเติบโตลดลง
นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่สายการตลาด และนายสฤษดิพงษ์ รัตนาพต ผู้อำนวยการใหญ่สายบริการสินค้า บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสินค้าชุดนักเรียน และอุปกรณ์การเรียนในปี 2548 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 4,700 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 15-20% ซึ่งมาจากการที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น และกลุ่มนักเรียนโต ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงมีสัดส่วนมากกว่าเด็กเล็ก อีกทั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดนี้มีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น และมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก แม้ว่าผู้ประกอบการทุกรายจะต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นประมาณ 10-20%
นอกจากนี้การที่รัฐบาลขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้าและสินค้ากลุ่มชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียนถือเป็นสินค้าจำเป็นที่ต้องควบคุมราคา ส่งผลให้ในปีนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในช่วงเปิดเทอมจะมีเม็ดเงินการใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาทั่วประเทศประมาณ 46,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าเล่าเรียน 50% และอีก 50% เป็นค่าเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อุปกรณ์การเรียนอื่นๆ
ปีนี้คาดว่าในส่วนของบัตรเครดิตจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีภาระค่าใช้จ่ายหลายด้านเพิ่มสูงขึ้น โดยจากการสำรวจการใช้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์การเรียนภายในเดอะมอลล์ทุกสาขาเมื่อปี 2547 พบว่า ผู้บริโภคใช้จ่ายด้วยเงินสด 70% บัตรเครดิต 30% แต่ปีนี้คาดว่าสัดส่วนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อครั้งปีนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเฉลี่ยที่ประมาณ 570 บาท เพราะสินค้ามีราคาคงที่
ล่าสุด เดอะมอลล์ได้เปิดตัวแคมเปญ "Thailand Biggest Back To School 2005" ขึ้นระหว่างวันที่ 21 เม.ย. - 18 พ.ค. นี้ รวม 28 วัน ภายใต้งบประมาณ 15 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 175 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากยอดขายปี 2547 ที่มีมูลค่า 150 ล้านบาท โดยพื้นที่ขายสินค้าดังกล่าวในแต่ละสาขาแตกต่างกันมีตั้งแต่ 600 - 5,000 ตร.ม. กว่า 60,000 รายการ รวมกว่า 60 แบรนด์
ทั้งนี้ ข้อมูลจากการจัดงานแบ็ก ทู สคูลเมื่อปี 2547 พบว่า จำนวนลูกค้าที่มาซื้อสินค้าในงานดังกล่าวรวมประมาณ 300,000 คน 90% มาซื้อสินค้า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ปกครองผู้หญิงสูงถึง 70% ลูกค้าที่มาเดินซื้อสินค้าส่วนใหญ่ มีบุตร 1-2 คน สูงถึง 70% แบ่งเป็น กลุ่มเด็กเรียนประถม 50% เด็กอนุบาล 20% และอื่นๆ 30% โดยสินค้ากลุ่มรองเท้า ถุงเท้า เข็มขัดมีสัดส่วนการซื้อนับเป็นจำนวนชิ้นสูงถึง 50% ชุดนักเรียน 30% และอื่นๆ 20%
ปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตได้ 8-10% ตามเป้าหมาย แต่หากมีปัจจัยลบที่จะส่งผลทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อก็เชื่อจะสามารถเติบโตได้อย่างน้อยสุดไม่ต่ำกว่า 6% โดยไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโต 8% แต่เมื่อเทียบกับปี 2547 ถือว่าอัตราการเติบโตลดลง


