กรมศุลกากรยืนยันยังไม่พบการหลีกเลี่ยงภาษีน้ำมันเถื่อน จนทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้นับพันล้านบาท เตรียมประชุมด่วนกับตำรวจและกระทรวงพลังงานเพื่อคุมเข้มการลักลอบตามแนวชายแดน แต่ระบุการลักลอบซื้อขายน้ำมันในปีงบประมาณ 2548 มีน้อยและส่วนใหญ่เป็นการลักลอบของรายย่อย ส่วนการลักลอบส่งออกน้ำมันไปประเทศเพื่อนบ้านยืนยันไม่มีการจับกุม
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการส่วนปราบปรามทางทะเล กรมศุลกากร กล่าวว่า กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ระบุว่ารัฐบาลได้สูญเสียรายได้จากการหลบเลี่ยงภาษีน้ำมันเป็นเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากกรมศุลกากรได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอดในการปราบปรามการลักลอบน้ำมันออกนอกประเทศและได้สั่งการไปยังนายด่านศุลกากรทุกด่านให้เข้มงวดในเรื่องนี้ให้มากขึ้น รวมทั้งการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงโดยจะประชุมร่วมกับกระทรวงพลังงานและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเย็นวันนี้ (11 เม.ย.) ซึ่งข้อมูลที่นายกรัฐมนตรีเปิดเผยนั้น อาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้ แต่ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบก็จะประชุมร่วมกันเพื่อหาข้อเท็จจริงตรงนี้อีกครั้ง แต่เบื้องต้นขอยืนยันว่าไม่มีการลักลอบส่งออกน้ำมันไปยังประเทศเพื่อนบ้านแต่อย่างใด
ส่วนผลการจับกุมการลักลอบซื้อขายน้ำมันในปีงบประมาณ 2548 มีการลักลอบน้อยและส่วนใหญ่มักจะเป็นรายย่อยเพราะรายใหญ่มีการชดเชยด้วยโครงการน้ำมันเขียวแล้ว โดยสถานการณ์ลักลอบน้ำมันออกไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังไม่มีผลการจับกุมการลักลอบ แม้ราคาของประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาว พม่า เวียดนาม ยังแพงกว่าประเทศไทยประมาณ 4-5 บาทต่อลิตร และประเทศเหล่านี้มีการใช้รถยนต์น้อยกว่าไทย
ส่วนทางภาคใต้ของไทยนั้น นายสมชาย กล่าวว่า ได้มีการลักลอบไปซื้อน้ำมันจากประเทศมาเลเซียบ้าง เพราะมีราคาต่ำกว่าประเทศไทยประมาณ 6 บาทต่อลิตร แต่ส่วนใหญ่เป็นรายย่อยที่มีการดัดแปลงตัวถังน้ำมันรถเท่านั้น ซึ่งตรงนี้กรมศุลกากรได้สั่งการให้ตรวจจับการดัดแปลงตัวถังดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการส่วนปราบปรามทางทะเล กรมศุลกากร กล่าวว่า กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ระบุว่ารัฐบาลได้สูญเสียรายได้จากการหลบเลี่ยงภาษีน้ำมันเป็นเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากกรมศุลกากรได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอดในการปราบปรามการลักลอบน้ำมันออกนอกประเทศและได้สั่งการไปยังนายด่านศุลกากรทุกด่านให้เข้มงวดในเรื่องนี้ให้มากขึ้น รวมทั้งการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงโดยจะประชุมร่วมกับกระทรวงพลังงานและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเย็นวันนี้ (11 เม.ย.) ซึ่งข้อมูลที่นายกรัฐมนตรีเปิดเผยนั้น อาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้ แต่ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบก็จะประชุมร่วมกันเพื่อหาข้อเท็จจริงตรงนี้อีกครั้ง แต่เบื้องต้นขอยืนยันว่าไม่มีการลักลอบส่งออกน้ำมันไปยังประเทศเพื่อนบ้านแต่อย่างใด
ส่วนผลการจับกุมการลักลอบซื้อขายน้ำมันในปีงบประมาณ 2548 มีการลักลอบน้อยและส่วนใหญ่มักจะเป็นรายย่อยเพราะรายใหญ่มีการชดเชยด้วยโครงการน้ำมันเขียวแล้ว โดยสถานการณ์ลักลอบน้ำมันออกไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังไม่มีผลการจับกุมการลักลอบ แม้ราคาของประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาว พม่า เวียดนาม ยังแพงกว่าประเทศไทยประมาณ 4-5 บาทต่อลิตร และประเทศเหล่านี้มีการใช้รถยนต์น้อยกว่าไทย
ส่วนทางภาคใต้ของไทยนั้น นายสมชาย กล่าวว่า ได้มีการลักลอบไปซื้อน้ำมันจากประเทศมาเลเซียบ้าง เพราะมีราคาต่ำกว่าประเทศไทยประมาณ 6 บาทต่อลิตร แต่ส่วนใหญ่เป็นรายย่อยที่มีการดัดแปลงตัวถังน้ำมันรถเท่านั้น ซึ่งตรงนี้กรมศุลกากรได้สั่งการให้ตรวจจับการดัดแปลงตัวถังดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว