xs
xsm
sm
md
lg

CENTRAL 2548 กินรวบค้าปลีกทั้งใน - นอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


  • 13,500 ล้านบาท เป็นเม็ดเงินการลงทุนรวมของกลุ่มเซ็นทรัลปี 2548 จำนวนนี้เกือบ 30% หว่านลงไปกับกลุ่มธุรกิจค้าปลีก

  • เมื่อพื้นที่เริ่มเต็ม แหล่งคนมีศักยภาพด้านการเงินในเมืองไทยเริ่มหายาก จึงไม่แปลกที่เป้าหมายใหม่ของห้างสรรพสินค้าที่ทั้งหรู และใหญ่จะเบนหัวรบไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  • ส่วนแนวรบในประเทศจะใช้บรรดาสเปเชียลตี้ สโตร์ รุกกินตลาดไปเรื่อยๆ ดูไปดูมาคำว่า "กินรวบ" ยังน้อยเกินไปสำหรับการรุกธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัลปีนี้

    ยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจของเครือเซ็นทรัล ที่มุ่งหวังจะขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศจะเห็นผลอย่างชัดเจนในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยในช่วงแรกจะเน้นหนักไปที่กลุ่มประเทศในแถบอาเซียน ในขณะที่การดำเนินธุรกิจในเมืองไทยแม้จะมีปัญหาเรื่องการหาพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งหาได้ยากขึ้น แต่ว่าตลาดเมืองไทยยังมีศักยภาพในการลงทุนสูงอยู่ ดังนั้นเซ็นทรัลจึงวางยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจในประเทศด้วยการสร้างเซกเมนต์ใหม่ๆ เช่น ร้านสเปเชียลตี้สโตร์ต่างๆในเครือเซ็นทรัล อย่าง ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เพาเวอร์บาย บีทูเอส เป็นต้น ซึ่งถือเป็น Category Killer ที่จะมีบทบาทสำคัญในการเจาะช่องว่างในตลาดเมืองไทย

    ผู้จัดการรายสัปดาห์ได้สอบถามถึงยุทธศาสตร์ของเซ็นทรัลเกี่ยวกับการใช้ Category Killer เหล่านี้เป็นตัวบุกตลาดในประเทศ ซึ่ง ทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ตอบเพียงสั้นๆว่า "ใช่ นั่นคือยุทธศาสตร์ที่เซ็นทรัลจะดำเนินต่อไป"

    22 มีนาคม 2548 หลังงานแถลงข่าวหนึ่งวัน หนังสือพิมพ์ทั้งไทย และอังกฤษหลายฉบับรายงานข่าวแทบตรงกันถึงแผนการลงทุนของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซีในการรุกต่างประเทศ และปีนี้จะเป็นปีที่เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาได้เตรียมแผนงานทุกด้าน ทั้งบุคลากร ระบบการบริหารงาน รวมถึงเม็ดเงินลงทุนสำหรับตลาดต่างประเทศ โดย ทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า วางไว้ในเบื้องต้น 1,000 ล้านบาท จากสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบัน 4,000-5,000 ล้านบาท

    สำหรับประเทศที่ซีอาร์ซีสนใจ และมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าลงทุนมีด้วยกัน 5 ประเทศ คือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ คาดว่าภายในปลายปีนี้จะมีธุรกิจในต่างประเทศได้อย่างน้อย 2 แห่ง ขณะนี้เริ่มเจรจาแล้ว มองว่าเวียดนามมีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ที่ซีอาร์ซีถือหุ้นอยู่ 22-23% ได้เปิดสาขาที่ประเทศดังกล่าวแล้ว ส่วนอินโดนีเซียก็มีความเป็นไปได้เพราะเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่

    นั่นคือก้าวแรกของซีอาร์ซีในการออกไปกินรวบค้าปลีกต่างประเทศ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของปีนี้

    เหตุผลของการขยายแนวรบไปต่างแดนของเซ็นทรัล นอกจากเหตุผลภายในประเทศที่ว่าทำเลที่มีศักยภาพช่างหาได้ยากเต็มทีแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และมีมาตรฐานจนสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ เห็นได้จากการที่ ยุวดี พิจารณ์จิตร ได้รับการคัดเลือกโดยมติเป็นเอกฉันท์ให้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมห้างสรรพสินค้าโลก (Intercontinental Group of Department Store : IGDS) ไปเมื่อไม่นานมานี้

    ดังนั้น การสยายปีกในต่างแดนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจึงไม่น่าจะยากเย็นนัก และยังทำให้เครือเซ็นทรัลแข็งแรงเพิ่มขึ้น เพราะห้างสรรพสินค้า ถือว่าเป็นหัวใจของกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำรายได้หลักให้กับธุรกิจในเครือเซ็นทรัลทั้งหมดเลยทีเดียว

    และนับจากนี้ยุทธศาสตร์ segmentation ที่สุทธิชาติ จิราธิวัฒน์ ได้ประกาศไว้เมื่อปี 2537 จะชัดเจน และเป็นรูปธรรมมากขึ้น

    ท็อปส์ นำร่อง Category Killer
    ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ถือเป็น Category Killer ตัวแรกของเครือเซ็นทรัลที่ก่อตั้งเมื่อปี 2535 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 1,529 ล้านบาท แรกเริ่มเดิมทีใช้ชื่อบริษัทว่า เซฟวัน จากนั้นได้ร่วมทุนกับต่างชาติเปลี่ยนชื่อมาเป็น ซีอาร์ซี เอโฮลด์ แต่เนื่องจากบริษัทแม่ที่เนเธอร์แลนด์มีปัญหาทางการเงินทำให้ต้องถอนทุนออกไปจนหมด โดยเซ็นทรัลเป็นผู้ซื้อหุ้นคืน 100% แล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล เมื่อกลางปีที่แล้ว ถือเป็นการกลับสู่สังเวียนธุรกิจอาหารของเซ็นทรัลอีกครั้งหลังจากขายหุ้นให้เอโฮลด์ไปจนหมดในปี 2541

    ทั้งนี้ธุรกิจอาหารโดยรวมมีมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% ของธุรกิจค้าปลีกโดยรวม ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าในอีก 4 ปีธุรกิจอาหารจะเติบโตเพิ่มเป็นอีกเท่าตัว

    ภายหลังการเข้ามาถือหุ้นในท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต 100% แล้วเซ็นทรัลก็เริ่มรุกตลาดอย่างจริงจังด้วยการทำบัตรสปอร์ตรีวอร์ดการ์ด ซึ่งถือเป็นการทำซีอาร์เอ็มที่ต้องจับตามองเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ความต้องการของผู้บริโภคที่แท้จริง ซึ่งจะมีการทำแคมเปญการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย โดยผู้ที่เป็นสมาชิกจะได้รับส่วนลดพิเศษ ปัจจุบันสปอร์ตรีวอร์ดการ์ดมีสมาชิกอยู่ 1.4 ล้านคน โดยลูกค้ากลุ่มนี้มีการใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าทั่วไป 40%

    จากนั้นท็อปส์ก็ขยายสาขาแบบก้าวกระโดดด้วยการซื้อกิจการของฟู้ดไลอ้อนในเมืองไทยกว่า 20 สาขา ซึ่งตอนแรกคาดว่าจะทำให้ยอดขายของท็อปส์โต 10% ในปีที่แล้ว แต่เมื่อปิดรอบบัญชีปรากฏว่าท็อปส์มีการเติบโตขึ้น
    14% คิดเป็นยอดขาย 16,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีสาขากว่า 61 แห่ง แบ่งเป็น สาขาท็อปส์มาตรฐาน 50 สาขา ท็อปส์มาร์เก็ตเพลส 10 สาขา และ ซิตี้มาร์เก็ตบายท็อปส์ 1 สาขา

    สำหรับความแตกต่างของแต่ละรูปแบบคือ สาขามาตรฐานจะเป็นเหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป มีอาหารสด อาหารแห้ง และสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนสาขาท็อปส์มาร์เก็ตเพลสจะใช้คอนเซ็ปต์ว่า "คัดความสดจากทุกมุมโลกมาให้คุณ" เน้นความครบครันของสินค้าโดยจะต่างจากสาขาปกติคือมีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศมากกว่า สำหรับซิตี้มาร์เก็ตบายท็อปส์ เป็นสาขาที่อยู่ในอาคารสำนักงาน ย่านธุรกิจ จับลูกค้ากลุ่มคนทำงาน

    แผนการดำเนินงานของท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตในปีนี้ จะมีการทำซูเปอร์มาเก็ตรูปแบบใหม่ภายใต้แนวคิด Food Hall ซึ่งเป็นการผสมผสานรูปแบบของซูเปอร์มาร์เก็ตเข้ากับฟู้ดคอร์ท ที่มีเชฟจากต่างประเทศมาปรุงอาหาร

    ซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่ที่ว่านี้มี 2 แบบ โดย แบบแรกจะสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาที่เซ็นทรัลเวิล์ดพลาซ่า มีพื้นที่ 4,500 ตารางเมตร เน้นสินค้าพรีเมี่ยมมากกว่ารูปแบบมาร์เก็ตเพลส โดยมีสัดส่วนสินค้านำเข้ามากถึง 40% ในขณะที่มาร์เก็ตเพลสมีเพียง 17% จากสินค้ากว่า 30,000 รายการ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีความทันสมัย

    ส่วนคอนเซ็ปต์ที่ 2 จะทำที่ชิดลม แต่จะมีการใช้ชื่อซูเปอร์มาร์เก็ตใหม่หรือไม่นั้นยังอยู่ระหว่างพิจารณา สำหรับรูปแบบที่ 2 จะเน้นชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย อยู่กันเป้นครอบครัว

    การเพิ่มความหลากหลายให้กับรูปแบบของธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นผลมาจากยุทธศาสาตร์ในการนำธุรกิจค้าปลีกไปสู่ต่างประเทศ ซึ่ง ณ ตอนนี้ ยังไม่มีการตัดสินใจชัดเจนว่าจะส่งแบรนด์ใดไป รูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตใหม่ๆเหล่านี้เกิดจากการศึกษาธุรกิจของต่างประเทศและมีการผสมผสานให้เหมาะกับตลาดเมืองไทย อย่างไรก็ดี รูปแบบ ซิตี้ มาร์เก็ต บาย ท็อปส์ จะถูกพักไว้ก่อนเนื่องจากยังไม่เหมาะกับสภาพตลาดในเมืองไทย ณ ตอนนี้

    สำหรับผลประกอบการในปีนี้ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล คาดว่า ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต จะมียอดขายโตขึ้น 18-20% หรือคิดเป็นยอดขายเกือบ 20,000 ล้านบาท

    ออฟฟิศ ดีโป ชิมลางตลาดเครื่องเขียน
    ออฟฟิศ ดีโป ศูนย์รวมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงาน เป็น Category Killer ลำดับที่ 2 ของเครือเซ็นทรัล เกิดจากการร่วมทุนกับ ออฟฟิศ ดีโป อเมริกา เพื่อตอบสนององค์กรธุรกิจทั้งขนาดกลางและขนาดเล็กซึ่งขยายตัวอย่างมากในช่วงนั้น โดยเริ่มทำตลาดในประเทศปี 2537 เดิมใช้ชื่อบริษัทว่า ออฟฟิซ เดโป (ประเทศไทย) ต่อมาในปี 2538 เปลี่ยนชื่อเป็น ออฟฟิซ คลับ (ไทย) มีทุนจดทะเบียน 691 ล้านบาท มีสาขาทั้งหมด 13 แห่ง รูปแบบธุรกิจไม่หวือหวาเพราะตัวสินค้าจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ เราจึงไม่ค่อยเห็นกิจกรรมการตลาดของธุรกิจนี้มากนัก

    อย่างไรก็ดีนอกจากจะมีช่องทางจำหน่ายหน้าร้านแล้ว ออฟฟิศ ดีโป ยังเปิดเว็บไซต์ให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเป้าหมายที่เป็นองค์กรธุรกิจซึ่งฝ่ายจัดซื้ออาจจะไม่ค่อยมีเวลาออกมาสั่งซื้อสินค้ามากนัก นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถสั่งซื้อสินค้าทางโทรศัพท์และโทรสารได้อีกด้วย

    B2S จิ๊กซอว์ต่อพ่วงเซ็นทรัลรีเทล
    หลังจากชิมลางตลาดเครื่องเขียนสำนักงานได้ 1 ปี เซ็นทรัล รีเทล ก็ทำธุรกิจเครื่องเขียนและร้านหนังสือรูปแบบใหม่ ใช้ชื่อว่า บีทูเอส ซึ่งมีจุดต่างจากออฟฟิศ ดีโป ตรงที่ใส่ไลฟ์สไตล์และความทันสมัยให้กับสินค้ามากขึ้น กลุ่มลูกค้าก็จะเป็นผู้บริโภคทั่วไป ขณะที่ออฟฟิศ ดีโป จับตลาดลูกค้าองค์กรมากกว่า

    กลุ่มสินค้าหลักของบีทูเอส คือ หนังสือ อุปกรณ์เครื่องเขียนเครื่องใช้สำนักงาน สื่อบันเทิงเทปซีดี บริการถ่ายเอกสารและงานไปรษณีย์
    ไปรษณีย์

    รูปแบบของสาขาบีทูเอสแต่เดิมมี 2 รูปแบบคือ ร้านค้าต้นแบบซึ่งใช้พื้นที่กว่า 600-2,000 ตารางเมตร บนศูนย์การค้า และรูปแบบเน็ตเวิร์คใช้พื้นที่ประมาณ 150-300 ตารางเมตร งบลงทุนสาขาละ 30 ล้านบาท ตั้งอยู่ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ โดยในปีที่ผ่านมามีการทำร้านค้ารูปแบบใหม่คือ แมกกาซีน คอร์เนอร์ ใช้พื้นที่ 10-50 ตารางเมตร ลงทุนสาขาละ 2.5 แสนบาท เปิดเป็นเหมือนแผงหนังสือตามอาคาร สำนักงาน ย่านชุมชนที่มีพื้นที่จำกัด

    หลังจากบีทูเอสรูปแบบที่ 3 เกิดขึ้น เซ็นทรัลรีเทลก็มีการขยายสาขาบีทูเอสไปตามธุรกิจในเครืออย่างเช่น ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตกว่า 25 แห่ง และยังมีสาขาต่างๆของบิ๊กซีอีกที่มีแมกกาซีน คอร์เนอร์ของบีทูเอส ปัจจุบัน บีทูเอส มีสาขาทั้งหมด 90 แห่ง เป็นรูปแบบดั้งเดิม 30 สาขา จำหน่ายสินค้ากว่า 80,000 รายการ รูปแบบเน็ตเวิร์ค 27 สาขา จำหน่ายสินค้ากว่า 30,000 รายการ และแมกกาซีน คอร์เนอร์ 33 สาขา จำหน่ายสินค้ากว่า 1,000 รายการ

    สำหรับแผนการดำเนินงานของบีทูเอสในปีนี้จะมีการขยายสาขาเพิ่มอีก 30-40 สาขา ภายใต้งบลงทุน 150 ล้านบาท โดยจะเน้นรูปแบบแมกกาซีน คอร์เนอร์ เนื่องจากลงทุนน้อย ใช้พื้นที่ไม่มาก นอกจากนี้ยังมีการขยายบีทูเอสรูปแบบใหม่อีก 1 แบบ พื้นที่จะใหญ่กว่าสาขาชิดลม 2 เท่า ถือเป็นเมกะสโตร์แห่งแรกของบีทูเอสซึ่งจะสร้างขึ้นที่เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า คาด แล้วเสร็จในปีหน้า
    เหตุผลของการขยายสาขารูปแบบใหม่ๆของบีทูเอสไม่แตกต่างไปจากกรณีของท็อปส์คือเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งในเบื้องต้นจะขยายตามกลุ่มซีอาร์ซีมากกว่าจะไปทำตลาดต่างประเทศด้วยตนเอง

    ปีที่แล้ว บีทูเอส ปิดยอดได้ 2,300 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30% แบ่งเป็น กลุ่มหนังสือ 40% เครื่องเขียน 40% และ กลุ่มสื่อบันเทิง 20% ส่วนในปีนี้คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ 20%

    เพาเวอร์บาย เมืองอิเล็กทรอนิกส์
    เพาเวอร์บายก่อตั้งขึ้นในปี 2539 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 560 ล้านบาท เป็น Category Killer ที่เกิดจากการรวมกิจการแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าของเซ็นทรัลและโรบินสันเพื่อพัฒนาธุรกิจให้เป็นรูปแบบของร้านขายสินค้าเฉพาะเครื่องไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ เพาเวอร์บาย เมืองอิเล็กทรอนิกส์

    กลุ่มสินค้าหลักของเพาเวอร์บายสามารถแบ่งได้ 9 กลุ่มคือ สินค้าหมวดภาพ เช่นทีวี หมวดเครื่องเสียง อุปกรณ์ต่อพ่วง เครื่องไฟฟ้าในบ้าน เครื่องปรับอากาศ-พัดลม คอมพิวเตอร์-อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องดนตรี กล้อง-อุปกรณ์ถ่ายภาพ และสินค้าเพื่อความบันเทิงต่างๆ ทั้งนี้สินค้ากลุ่ม 3C ซึ่งประกอบด้วย Computer, Camera, Communication เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตสูงที่สุด คิดเป็นรายได้รวมของเพาเวอร์บาย 35%

    ที่ผ่านมากลยุทธ์การตลาดของเพาเวอร์บายจะมีการเลือกแบรนด์สินค้าที่ผู้บริโภครู้จัก ราคาไม่แพง เข้ามาทำตลาด โดยมีการทำโปรโมชั่นอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็มีการขยายสาขารูปแบบต่างๆให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้า

    แต่เมื่อปีที่แล้วมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารจาก ประวิทย์ อนันตวราศิลป์ มาเป็น สุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 2 ของเซ็นทรัล ซึ่งมีการเปลี่ยนนโยบายในบางส่วน เช่น การให้ความสำคัญกับสินค้าระดับพรีเมี่ยมมากขึ้น อย่างการปรับสาขาชิดลมให้เป็น ไลฟ์สไตล์คอนเซ็ปต์ มีการลดสินค้าที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เน้นสินค้าไฮเอนด์ จัดรูปแบบร้านให้ดูโปร่งโล่ง เพื่อตอบสนองลูกค้าในย่านดังกล่าวซึ่งเป็นตลาดระดับบน

    ปัจจุบันเพาเวอร์บายมีสาขาทั้งหมด 61 แห่ง แบ่งเป็นรูปแบบเน็ตเวิร์ค 12 สาขาซึ่งเป็นสแตนด์อะโลนตั้งอยู่ตามย่านชุมชนต่างๆ เช่น ที่โชคชัย 4 และศรีย่าน ส่วนที่เหลือ 49 สาขา เป็นรูปแบบปกติ ซึ่งมี 2 รูปแบบพิเศษ คือ เพาเวอร์บายอิมเมจ ตั้งอยู่ที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เน้นสินค้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเพาเวอร์บาย รีจินอล คลัสเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ขอนแก่น เป็นต้นแบบของสาขารูปแบบใหม่ในต่างจังหวัดซึ่งจะใช้เป็นศูนย์กลางในการขยายสาขาไปสู่จังหวัดข้างเคียง

    เพาเวอร์บายใช้งบกว่า 500 ล้านบาทในการทำการตลาดปีนี้ โดย 400 ล้านบาทจะใช้ในการขยายสาขาใหม่ ส่วนอีก 100 ล้านบาท จะเน้นการสร้างภาพลักษณ์ให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าที่จำหน่ายในเพาเวอร์บาย

    สำหรับการขยายสาขาใหม่ในปีนี้คาดว่าจะเปิดเพิ่มอีก 20 สาขา โดยเน้นสแตนด์อะโลนตามต่างจังหวัดซึ่งจะใช้รูปแบบรีจินอล คลัสเตอร์ มากกว่า 50% เนื่องจากสาขาในกรุงเทพฯครอบคลุมตลาดมากพอแล้ว ทั้งนี้จะมีการขยายสาขาเพาเวอร์บายอิมเมจอีก 1 แห่ง เพื่อจับตลาดวัยรุ่น

    ผลประกอบการของเพาเวอร์บายในปีที่ผ่านมาสามารถปิดยอดได้ 9,200 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 8,000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายได้กว่า 10,000 ล้านบาท จากการขยายสาขาเพิ่ม นอกจากนี้ในแต่ละปียังมีการจัดงานใหญ่เพาเวอร์บายเอ็กซ์โป ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ และยังมีแคมเปญการตลาดอื่นๆอีกตลอดทั้งปีที่จะช่วยเรียกลูกค้าเข้าร้าน

    ซูเปอร์สปอร์ต ขานรับกระแสสุขภาพ
    ซูเปอร์สปอร์ตถือกำเนิดขึ้นในปี 2539 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตมากขึ้น มีกระแสห่วงใยสุขภาพ ไม่ใช่แค่การทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จในชีวิตเท่านั้น ประกอบกับภาครัฐรณรงค์ให้ประชาชนหันมาออกกำลังกาย ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีผู้นำในตลาดค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาอย่างเด่นชัด สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลให้เซ็นทรัลกระโดดเข้าสู่สนามรบแห่งใหม่ ภายใต้สโลแกน "ซูเปอร์สปอร์ต...ทุกคำตอบของกีฬา" ซึ่งมีสินค้าทั้งหมด 10 กลุ่ม คือ กอล์ฟ แร็กเก็ต ลูกบอล อุปกรณ์นันทนาการ จักรยาน เครื่องออกกำลังกาย อุปกรณ์ตกปลา แคมปิ้ง อุปกรณ์กีฬาทางน้ำ และเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋ากีฬาทุกประเภท

    แผนการตลาดของซูเปอร์สปอร์ตในปีนี้จะเน้นการสร้าง Brand Awareness และ Brand Loyalty ตลอดจนการทำให้ซูเปอร์สปอร์ตเป็น Top of Mind ในใจลูกค้า และยังมีการปรับปรุงร้านภายใต้แนวคิด Exciting & Fun Store ด้วยการจัดกิจกรรมภายในร้านให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกโดยมีรางวัลตอบแทน

    ปีนี้ซูเปอร์สปอร์ตจะมีการขยายสาขาเพิ่มอีก 6 แห่งจากเดิมที่มี 50 สาขา โดยใช้งบลงทุน 80 ล้านบาท และกลางปีหน้าจะมีการขยายสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ซึ่งใช้งบกว่า 50 ล้านบาท บนพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นร้านอุปกรณ์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ในรูปแบบของ Exciting & Fun Store

    นอกจานี้ยังมีการปรับปรุงสาขาเดิมเช่นขยายพื้นที่สาขารังสิต และซีคอนสแควร์ การปรับปรุงสาขาลาดพร้าวให้ทันสมัยมากขึ้น

    สำหรับผลประกอบการของซูเปอร์สปอร์ตในปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดได้ 2,500 ล้านบาท เติบโต 12% ถือเป็นผู้นำตลาดอุปกรณ์กีฬาด้วยส่วนแบ่งการตลาด 20% จากตลาดรวม 13,000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีการเติบโตอีก 20% หรือคิดเป็นยอดขาย 3,000 ล้านบาท

    โฮมเวิร์ค ศูนย์รวมสินค้าและบริการเพื่อบ้านโดยเฉพาะ
    โฮมเวิร์ค Category Killer ล่าสุดของเครือเซ็นทรัลที่ถือกำเนิดในปี 2544 ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ศูนย์รวมสินค้าและบริการเพื่อบ้านโดยเฉพาะ" เริ่มจากโฮมเวิร์คสาขาปกติซึ่งใช้พื้นที่ประมาณ 5,000 ตารางเมตร จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์ตกแต่งซ่อมแซมบ้าน มีบริการProject Solution คอยให้คำแนะนำแกลูกค้าเกี่ยวกับการออกบบและตกแต่งบ้าน

    ในปีที่ผ่านมาโฮมเวิร์คมีการขยายสาขารูปแบบใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่นิยมทำอะไรด้วยตัวเอง จึงเกิดเป็น โฮมเวิร์ค ดี.ไอ.วาย. (D.I.Y.=Do it Yourself) ซึ่งมีขนาดของร้านเล็กลง จำหน่ายอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านชิ้นเล็กที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถซื้อไปแก้ไขเองได้

    ปัจจุบันโฮมเวิร์คมีสาขา 8 แห่งเป็นสาขาปกติ 6 แห่ง และสาขาอี.ไอ.วาย. 2 แห่ง ส่วนในปีนี้จะมีการขยายสาขารูปแบบใหม่เพื่อเจาะตลาดลูกค้าที่มีบ้านใหม่ โดยจะเน้นสินค้าตกแต่งบ้านมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้สาขารูปแบบใหม่จะใช้พื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ทำเป็น 2 ชั้น จะเปิดบริการในช่วงกลางปีนี้ พร้อมกับบิ๊กซีเพชรเกษม

    ย้อนยุทธศาสตร์ Segmentation ของเซ็นทรัล
    เมื่อครั้งที่สุทธิชาติ จิราธิวัฒน์ เข้ารับตำแหน่งประธานกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัลกรุ๊ปเมื่อราวปี 2535 ต่อมาในปี 2536 แผนยุทธศาสตร์เชิงรุกของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ปได้ถูกนำเสนอต่อสาธารณชน ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า Segmentation เป็นวิชั่นของเขาในวันนั้นต่อวงการธุรกิจค้าปลีก

    สาระสำคัญต่อ Segmentation เป็นการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ในครั้งนั้นเป็นการสะท้อนถึงความต้องการที่จะครอบคลุมเครือข่ายธุรกิจครบวงจรของเซ็นทรัลกรุ๊ป และสอดรับกับสถานการณ์การแข่งขันที่ผู้ประกอบการค้าปลีกระดับโลกกำลังดาทัพเข้าเมืองไทยด้วยในช่วงเวลานั้นเซ็นทรัลกรุ๊ปมีเพียง ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเท่านั้นที่เป็นอาวุธหลักรับมือต่างชาติ

    ช่วงนั้นเซ็นทรัลพยายามขยายแนวรับด้วยการเปิดห้างสรรพสินค้าไปตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมกำลังซื้อในแต่ละพื้นที่ หลายสาขาประสบความสำเร็จ แต่บางสาขาต้องพลิกกลยุทธ์ใหม่หมด ช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้นเอง เซ็นทรัลพยายามรุกเข้าไปในกิจการร้านสะดวกซื้อ ด้วยการผลักดัน “เซ็นทรัลมินิมาร์ท” เพื่อไปรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีแนวโน้มว่าจะให้ความสำคัญกับร้านค้าติดแอร์เพิ่มขึ้น แต่เอาเข้าจริงๆร้านสะดวกซื้อของเซ็นทรัลก็มีสถานะเพียงบทเรียนความล้มเหลวอีกชิ้นหนึ่งเท่านั้น

    ความพยายามขยายฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้กว้างขึ้น ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยการเปิด “ZEN” เมื่อปี 2532 ในโครงการเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับบนในตลาด เอไปจนถึงบี และกลุ่มลูกค้าที่กำลังพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตที่มีอิทธิพลจากตะวันตกอย่างชัดเจน โดยสินค้าใน ZEN ส่วนใหญ่เป็นสินค้าระดับพรีเมียมที่หลายชนิดไม่มีจำหน่ายในสาขาของเซ็นทรัล ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ แห่งอื่นๆ รวมทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนรายการสินค้าถึง 30% เป็นประจำทุกปี เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

    รูปธรรมของการรุกคืบทางธุรกิจของเซ็นทรัลกรุ๊ปในธุรกิจค้าปลีก หลังจากได้ประกาศ Segmentation ที่เด่นชัดน่าจะอยู่ที่การเปิดดำเนินการ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์แห่งแรกบนถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อเดือนมกราคม 2537 ตามแนวคิดที่ได้กำหนดไว้สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่าง ก่อนจะขยายเปิดสาขาเพิ่มเติมด้วยการปรับเปลี่ยนสาขาของเซ็นทรัล ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ที่วงศ์สว่างให้เป็นบิ๊กซี

    สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับการเปิด บิ๊กซี ก็คือ เซ็นทรัลกรุ๊ปได้ผนวกกับโรบินสัน เพื่อจัดตั้งบริษัทซีอาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อขยายการลงทุนไปสู่ภูมิภาคอีกทางหนึ่งและอีกทางหนึ่งก็คือ การจัดแบ่งกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มดีพาร์ทเมนท์สโตร์ โดยกำหนดให้เซ็นทรัลมีภาพลักษณ์และกลุ่มเป้าหมายระดับบน หรือเอ-บี ขณะที่โรบินสันจะอยู่ในสถานะของห้างในรูปแบบของแมสดีพาร์ทเมนท์สโตร์ หรือตลาด บี-ซี

    ที่สำคัญการเกิดขึ้นของซีอาร์ยังทำให้องค์ประกอบที่ว่าด้วย Segmentation ของเซ็นทรัลกรุ๊ปปรากฏรูปร่างที่ชัดเจนขึ้นอีก เมื่อในส่วนของ category killer นั้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัลกรุ๊ปได้ปรับเปลี่ยนให้หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องกีฬาที่แต่เดิมมีฐานะเป็นเพียงแผนกหนึ่งในดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ให้มีฐานะเป็นส่วนของหน่วยธุรกิจที่แยกออกมาจากตัวห้างในชื่อ Power Buy และ Super Sport ตามลำดับ

    ขณะเดียวกัน การร่วมกับโรบินสันในซีอาร์ได้ผลักดันให้หมวดจัดจำหน่ายอาหาร โดยเฉพาะในส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงพื้นที่ส่วนหนึ่งของห้างสรรพสินค้าได้รับการยกระดับให้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในฐานะที่เป็นหน่วยธุรกิจอีกหน่วยหนึ่ง และเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญใน segmentation ที่กำหนดไว้

    เซ็นทรัลกรุ๊ปเจรจากับ รอยัล เอโฮลด์ เพื่อดำเนินกิจการซูเปอร์มาร์เก็ตภายในพื้นที่ชั้นล่างของห้างสรรพสินค้าในเครือแต่ละแห่ง โดยได้ศึกษารูปแบบการดำเนินงานของซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือของเอโฮลด์แต่ละแห่ง ทั้ง Stop&Shop, Edwards และTops Supermarket จนในที่สุดได้ข้อสรุปที่ Tops

    การขยายตัวและรุกเข้าไปในธุรกิจอย่างมากมายหลายรูปแบบของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกในเครือเซ้นทรัลกรุ๊ป ทำให้ต้องมีการจัดโครงสร้างองค์กรการบริหารภายในกลุ่มนี้ใหม่ โดยในปี 2538 กลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัลกรุ๊ปได้จัดตั้ง Central Retail Corporation :CRC เพื่อทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้งคอมปานี ดูแลการบริหารและการลงทุนของบริษัทต่างๆในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกนี้
  • กำลังโหลดความคิดเห็น