อีจีวีปรับกลยุทธ์สาขาเมโทรโพลิส งัดเกมเซกเมนเตชั่น ทาร์เกตลุย หวังกินลูกค้าทุกกลุ่ม ประเดิมทุบโรงที่ 3 ทำโรงละครดึงกลุ่มดรีมบอกซ์บริหารพร้อมแบ่งรายได้ ก่อนเดินหน้าต่อทำโรงหนังเด็กโดยเฉพาะ เตรียมพัฒนาพื้นที่ที่เหลืออีก 50% สร้างเม็ดเงิน
นายชาญศักดิ์ ศิริวัฒนชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อีจีวีมีแผนที่จะพัฒนาสาขาอีจีวี เมโทรโพลิสให้มีรูปแบบเป็น เซกเมนเตชั่น ทาร์เกต (Segmentation Target) มากขึ้น เนื่องจากเป็นสาขาที่ใช้เงินลงทุนมากที่สุดและต้องการให้เป็นแฟลกชิปสโตร์ ปัจจุบันสาขานี้ทำรายได้ต่อโรงเป็นอันดับที่ 4 ของกลุ่มอีจีวีทั้งหมด แต่ในแง่ของปริมาณคนดูนั้นจะเป็นสาขาซีคอนสแควร์และสาขาปิ่นเกล้ามากที่สุด ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่ที่เหลืออีกกว่า 50% ของสาขาเมโทรโพลิสด้วย
“เรามองภาพรวมของทั้งสาขาเป็นพื้นที่ทั้งหมด ไม่ได้มองเป็นเพียงแค่โรงหรือจอใดจอหนึ่งเท่านั้น จึงปรับคอนเซ็ปต์แต่ละโรงให้ต่างกัน เพราะว่าเมื่อมีความหลากหลายก็จะทำให้ตรงนี้เป็นอาณาจักรบันเทิงตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ไม่ใช่มีเพียงแค่โรงหนัง ซึ่งผมจะต้องเข้ามาสานต่อคอนเซ็ปต์เดิม แต่วิธีการอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกันบ้าง”
ทั้งนี้แผนงานคร่าวๆ หลังจากที่ได้เข้ามาบริหารงานที่อีจีวีเมื่อช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จะปรับโรงหนังบางโรงให้เป็นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น ขณะนี้มีแนวคิดจะเปิดเป็นโรงหนังสำหรับเด็ก ซึ่งอาจจะนำเอาโรงเดิมเช่น 11, 12 หรือ 13 มาปรับสำหรับเป็นโรงหนังฉายหนังเด็กโดยเฉพาะ ขณะนี้มีการติดต่อกับผู้จัดจำหน่ายหนังบ้างแล้วรวมไปถึงกลุ่มองค์กรต่างๆ เช่นโรงเรียนเพื่อให้จัดกิจกรรมมาดูหนังที่นี่ คาดว่าภายใน 2 เดือนนี้จะเห็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งในโรงหนังนี้ก็จะต้องมีการปรับหลายอย่างทั้งการออกแบบ การจัดวางผัง รวมทั้งกลยุทธ์การตลาดเฉพาะ
ล่าสุดเตรียมปรับโรง 3 ซึ่งเป็นโรงที่ใหญ่ที่สุดของสาขาเมโทรโพลิสนี้ เดิมมี 700 ที่นั่ง ปรับเป็นโรงละคร BANGKOK THEATRE @ METROPOLIS มีความจุ 600 ที่นั่ง โดยร่วมมือกับทาง บริษัท ดรีมบอกซ์ จำกัด ให้เข้ามาเป็นผู้บริหารโรงละครแห่งนี้ ซึงก่อนหน้านี้อีจีวีมีรายได้จากโรงที่ 3 นี้ประมาณ 1 ล้านกว่าบาทต่อเดือน
“จากการเก็บข้อมูลพบว่า คนที่เข้ามาดูหนังส่วนใหญ่เป็น วัยรุ่น 70% อีก 30% นั้นไม่ใช่วัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่อีจีวีจะขยายฐานไปให้ได้มากที่สุด จึงต้องปรับรูปแบบให้มีความหลากหลายเพื่อขยายฐานลูกค้าเข้าหากลุ่มที่ไม่ใช่วัยรุ่นมากขึ้น ทุกวันนี้เราต้องพยายามปรับตัวเองเพื่อให้เข้าหาผู้บริโภคกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น ไม่ใช่ให้ลูกค้าเดินมาหาเรา ซึ่งการทำโรงละครก็อาจะได้กลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบละครเข้ามาอีจีวีเพิ่มด้วย“ นายชาญศักดิ์กล่าว
นายชาญศักดิ์กล่าวด้วยว่า ผลประกอบการของอีจีวีที่ผ่านมาดีขึ้น โดยยอดขายของอีจีวีจะอยู่ในอันดับที่สองหรือไม่ก็สามสลับกันไปกับค่ายเอสเอฟ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 23-24% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 3,000 ล้านบาท
นางดารกา วงศ์ศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดรีมบอกซ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงละครกรุงเทพ ถนนเพชรบุรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้หมดสัญญากับเจ้าของสถานที่เดิมแล้วจึงพยายามหาสถานที่ใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจการแสดงต่อและได้มาสรุปกับทางอีจีวี โดยทั้งสองฝ่ายได้เซ็นสัญญาให้ทางดรีมบอกซ์เข้ามาบริหารโรงที่ 3 ที่เตรียมจะปรับเป็นโรงละครเป็นเวลา 1 ปีเพื่อเป็นการทดลองตลาดก่อน ในเบื้องต้นนี้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันลงทุน 10 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงโรงหนังเดิมให้เป็นโรงละคร คาดว่าจะเปิดบริการได้ในเดือนพฤษภาคมศกนี้ เริ่มต้นด้วยละครเวทีเรื่อง “อลหม่านบ้านทรายทอง” และจะเป็นการแบ่งรายได้ 50% จากรายได้การจำหน่ายตั๋ว โดยทางดรีมบอกซ์จะเป็นผู้บริหารโรงละครและจัดการแสดงมาลง ส่วนทางอีจีวีจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกระบบสาธารณูปโภค ช่องทางจำหน่ายตั๋ว การโฆษณาประชาสัมพันธ์ กิจกรรมต่างๆ ผ่านทางสื่อของอีจีวีเอง คาดว่าในช่วงปีแรกจะสามารถทำรายได้ 60 ล้านบาท จากโรงละครนี้
นายชาญศักดิ์ ศิริวัฒนชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อีจีวีมีแผนที่จะพัฒนาสาขาอีจีวี เมโทรโพลิสให้มีรูปแบบเป็น เซกเมนเตชั่น ทาร์เกต (Segmentation Target) มากขึ้น เนื่องจากเป็นสาขาที่ใช้เงินลงทุนมากที่สุดและต้องการให้เป็นแฟลกชิปสโตร์ ปัจจุบันสาขานี้ทำรายได้ต่อโรงเป็นอันดับที่ 4 ของกลุ่มอีจีวีทั้งหมด แต่ในแง่ของปริมาณคนดูนั้นจะเป็นสาขาซีคอนสแควร์และสาขาปิ่นเกล้ามากที่สุด ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่ที่เหลืออีกกว่า 50% ของสาขาเมโทรโพลิสด้วย
“เรามองภาพรวมของทั้งสาขาเป็นพื้นที่ทั้งหมด ไม่ได้มองเป็นเพียงแค่โรงหรือจอใดจอหนึ่งเท่านั้น จึงปรับคอนเซ็ปต์แต่ละโรงให้ต่างกัน เพราะว่าเมื่อมีความหลากหลายก็จะทำให้ตรงนี้เป็นอาณาจักรบันเทิงตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ไม่ใช่มีเพียงแค่โรงหนัง ซึ่งผมจะต้องเข้ามาสานต่อคอนเซ็ปต์เดิม แต่วิธีการอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกันบ้าง”
ทั้งนี้แผนงานคร่าวๆ หลังจากที่ได้เข้ามาบริหารงานที่อีจีวีเมื่อช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จะปรับโรงหนังบางโรงให้เป็นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น ขณะนี้มีแนวคิดจะเปิดเป็นโรงหนังสำหรับเด็ก ซึ่งอาจจะนำเอาโรงเดิมเช่น 11, 12 หรือ 13 มาปรับสำหรับเป็นโรงหนังฉายหนังเด็กโดยเฉพาะ ขณะนี้มีการติดต่อกับผู้จัดจำหน่ายหนังบ้างแล้วรวมไปถึงกลุ่มองค์กรต่างๆ เช่นโรงเรียนเพื่อให้จัดกิจกรรมมาดูหนังที่นี่ คาดว่าภายใน 2 เดือนนี้จะเห็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งในโรงหนังนี้ก็จะต้องมีการปรับหลายอย่างทั้งการออกแบบ การจัดวางผัง รวมทั้งกลยุทธ์การตลาดเฉพาะ
ล่าสุดเตรียมปรับโรง 3 ซึ่งเป็นโรงที่ใหญ่ที่สุดของสาขาเมโทรโพลิสนี้ เดิมมี 700 ที่นั่ง ปรับเป็นโรงละคร BANGKOK THEATRE @ METROPOLIS มีความจุ 600 ที่นั่ง โดยร่วมมือกับทาง บริษัท ดรีมบอกซ์ จำกัด ให้เข้ามาเป็นผู้บริหารโรงละครแห่งนี้ ซึงก่อนหน้านี้อีจีวีมีรายได้จากโรงที่ 3 นี้ประมาณ 1 ล้านกว่าบาทต่อเดือน
“จากการเก็บข้อมูลพบว่า คนที่เข้ามาดูหนังส่วนใหญ่เป็น วัยรุ่น 70% อีก 30% นั้นไม่ใช่วัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่อีจีวีจะขยายฐานไปให้ได้มากที่สุด จึงต้องปรับรูปแบบให้มีความหลากหลายเพื่อขยายฐานลูกค้าเข้าหากลุ่มที่ไม่ใช่วัยรุ่นมากขึ้น ทุกวันนี้เราต้องพยายามปรับตัวเองเพื่อให้เข้าหาผู้บริโภคกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น ไม่ใช่ให้ลูกค้าเดินมาหาเรา ซึ่งการทำโรงละครก็อาจะได้กลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบละครเข้ามาอีจีวีเพิ่มด้วย“ นายชาญศักดิ์กล่าว
นายชาญศักดิ์กล่าวด้วยว่า ผลประกอบการของอีจีวีที่ผ่านมาดีขึ้น โดยยอดขายของอีจีวีจะอยู่ในอันดับที่สองหรือไม่ก็สามสลับกันไปกับค่ายเอสเอฟ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 23-24% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 3,000 ล้านบาท
นางดารกา วงศ์ศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดรีมบอกซ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงละครกรุงเทพ ถนนเพชรบุรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้หมดสัญญากับเจ้าของสถานที่เดิมแล้วจึงพยายามหาสถานที่ใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจการแสดงต่อและได้มาสรุปกับทางอีจีวี โดยทั้งสองฝ่ายได้เซ็นสัญญาให้ทางดรีมบอกซ์เข้ามาบริหารโรงที่ 3 ที่เตรียมจะปรับเป็นโรงละครเป็นเวลา 1 ปีเพื่อเป็นการทดลองตลาดก่อน ในเบื้องต้นนี้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันลงทุน 10 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงโรงหนังเดิมให้เป็นโรงละคร คาดว่าจะเปิดบริการได้ในเดือนพฤษภาคมศกนี้ เริ่มต้นด้วยละครเวทีเรื่อง “อลหม่านบ้านทรายทอง” และจะเป็นการแบ่งรายได้ 50% จากรายได้การจำหน่ายตั๋ว โดยทางดรีมบอกซ์จะเป็นผู้บริหารโรงละครและจัดการแสดงมาลง ส่วนทางอีจีวีจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกระบบสาธารณูปโภค ช่องทางจำหน่ายตั๋ว การโฆษณาประชาสัมพันธ์ กิจกรรมต่างๆ ผ่านทางสื่อของอีจีวีเอง คาดว่าในช่วงปีแรกจะสามารถทำรายได้ 60 ล้านบาท จากโรงละครนี้


