นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการฝ่ายตลาดในประเทศ ททท. เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ สมาคมแข่งขันเรือใบแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ , สโมสรราชวรุณ ในพระบรมราชูปถัมภ์ , บริษัท โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ทคลับ และฐานทัพเรือสัตหีบ จัดการแข่งขันเรือใบนานาชาติ “Top of the Gulf International Regatta 2005” ระหว่างวันที่ 30 เม.ย.- 5 พ.ค. ซึ่งถือเป็นการจัดแข่งขันเรือใบครั้งแรกในทะเลตอนบนของอ่าวไทย นอกชายฝั่งจอมเทียน พัทยา โดย ททท.มุ่งหวังให้งานนี้เป็นกิจกรรมเพื่อส่งเสริมกีฬาแข่งเรือใบ ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยสามารถเดินทางแข่งขัน และแล่นเรือยอช์ท ตั้งแต่ พัทยา หัวหิน เกาะสมุย และไปสิ้นสุดที่เกาะภูเก็ต
ทั้งนี้โครงการดังกล่าว จะตรงกับวัตถุประสงค์ของ ททท.ที่ต้องการดึงนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ เข้ามาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ที่จัดงาน ขณะเดียวกันที่เลือกจัดที่พัทยา ก็เพราะต้องการปรับภาพลักษณ์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่เน้นเรื่องของกีฬา และกิจกรรมระดับนานาชาติได้ ที่ผ่านมา พัทยา ก็เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ในงาน พัทยา มิวสิค ซึ่งการแข่งขันเรือใบในครั้งนี้ จะถูกผลักดันเข้าไปอยู่ในตารางการแข่งขันเรือใบประจำปีระดับสากล ของโซนเอเชีย เช่นเดียวกับ Phuket King’s Cup และ Samui Regatta ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายที่จะเข้ามาร่วมชม และลงแข่งขันในครั้งนี้ นอกจากคนไทยแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศประเทศในโซนเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ รวมถึงผู้สื่อข่าวที่จะเข้ามารายงานข่าวด้วย เป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง
“ตั้งแต่รัฐบาลมีการลดภาษี ค่าจอดเรือยอช์ท ทำให้มีกลุ่มผู้เล่นเรือยอช์ท เดินทางเข้ามาประเทศไทยเพิ่มขึ้น เป็นการช่วยส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวทางน้ำได้ดี ซึ่งการแข่งเรือใบนานาชาติครั้งนี้ ถือเป็นโครงการที่จะช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของพัทยาให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการปลุกกระแสท่องเที่ยวทางทะเลฝั่งอ่าวไทยให้คึกคัก โดยททท.มีแนวคิดว่าจากนี้ไปจะบรรจุให้เป็นกิจกรรมที่มีการจัดขึ้นทุกปี”
นางจุฑาพร ยังกล่าวอีกว่า จากการที่ ททท.ได้ว่าจ้างให้บริษัท เอคอน จำกัด ไปดำเนินการวิจัยตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ ที่เป็นคนไทย โดยมีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาท ต่อครัวเรือนขึ้นไป ล่าสุด ผลวิจัยได้เสร็จเรียบร้อย เตรียมเสนอต่อผู้ว่าการ ททท.เพื่อพิจารณา จากนั้นจะเชิญบริษัททัวร์ เข้ามารับฟังข้อมูลเพื่อจัดเป็นแพกเกจทัวร์ท่องเที่ยวต่อไป ซึ่งผลวิจัยได้ลงลึกแยกตามเซกเม้นท์พฤติกรรมความชอบ ของในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ 1.กลุ่มมีเงินแต่ไม่มีเวลาเที่ยวเพราะให้เวลากับการทำงานสูง กลุ่มนี้ จะเที่ยวในจังหวัดใกล้ๆ ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 3 วัน 2.กลุ่มคนโสด ซึ่งกลุ่มนี้ต้องการมีเพื่อนไปเที่ยวด้วย และ 3. กลุ่มครอบครัว ซึ่งจะต้องการสถานที่ท่องเที่ยวที่สะดวกและปลอดภัย นอกจากนั้นความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้ง 3 กลุ่ม คือชอบการท่องเที่ยวที่เป็นลักษณะส่วนตัว เป็นกลุ่มไม่ใหญ่มาก หรือไม่เกิน 5- 10 คน ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นโจทย์เบื้องต้นที่ ททท.จะแจ้งให้กับบริษัททัวร์ได้รับทราบ
ทั้งนี้โครงการดังกล่าว จะตรงกับวัตถุประสงค์ของ ททท.ที่ต้องการดึงนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ เข้ามาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ที่จัดงาน ขณะเดียวกันที่เลือกจัดที่พัทยา ก็เพราะต้องการปรับภาพลักษณ์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่เน้นเรื่องของกีฬา และกิจกรรมระดับนานาชาติได้ ที่ผ่านมา พัทยา ก็เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ในงาน พัทยา มิวสิค ซึ่งการแข่งขันเรือใบในครั้งนี้ จะถูกผลักดันเข้าไปอยู่ในตารางการแข่งขันเรือใบประจำปีระดับสากล ของโซนเอเชีย เช่นเดียวกับ Phuket King’s Cup และ Samui Regatta ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายที่จะเข้ามาร่วมชม และลงแข่งขันในครั้งนี้ นอกจากคนไทยแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศประเทศในโซนเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ รวมถึงผู้สื่อข่าวที่จะเข้ามารายงานข่าวด้วย เป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง
“ตั้งแต่รัฐบาลมีการลดภาษี ค่าจอดเรือยอช์ท ทำให้มีกลุ่มผู้เล่นเรือยอช์ท เดินทางเข้ามาประเทศไทยเพิ่มขึ้น เป็นการช่วยส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวทางน้ำได้ดี ซึ่งการแข่งเรือใบนานาชาติครั้งนี้ ถือเป็นโครงการที่จะช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของพัทยาให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการปลุกกระแสท่องเที่ยวทางทะเลฝั่งอ่าวไทยให้คึกคัก โดยททท.มีแนวคิดว่าจากนี้ไปจะบรรจุให้เป็นกิจกรรมที่มีการจัดขึ้นทุกปี”
นางจุฑาพร ยังกล่าวอีกว่า จากการที่ ททท.ได้ว่าจ้างให้บริษัท เอคอน จำกัด ไปดำเนินการวิจัยตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ ที่เป็นคนไทย โดยมีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาท ต่อครัวเรือนขึ้นไป ล่าสุด ผลวิจัยได้เสร็จเรียบร้อย เตรียมเสนอต่อผู้ว่าการ ททท.เพื่อพิจารณา จากนั้นจะเชิญบริษัททัวร์ เข้ามารับฟังข้อมูลเพื่อจัดเป็นแพกเกจทัวร์ท่องเที่ยวต่อไป ซึ่งผลวิจัยได้ลงลึกแยกตามเซกเม้นท์พฤติกรรมความชอบ ของในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ 1.กลุ่มมีเงินแต่ไม่มีเวลาเที่ยวเพราะให้เวลากับการทำงานสูง กลุ่มนี้ จะเที่ยวในจังหวัดใกล้ๆ ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 3 วัน 2.กลุ่มคนโสด ซึ่งกลุ่มนี้ต้องการมีเพื่อนไปเที่ยวด้วย และ 3. กลุ่มครอบครัว ซึ่งจะต้องการสถานที่ท่องเที่ยวที่สะดวกและปลอดภัย นอกจากนั้นความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้ง 3 กลุ่ม คือชอบการท่องเที่ยวที่เป็นลักษณะส่วนตัว เป็นกลุ่มไม่ใหญ่มาก หรือไม่เกิน 5- 10 คน ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นโจทย์เบื้องต้นที่ ททท.จะแจ้งให้กับบริษัททัวร์ได้รับทราบ