งานประกวดโฆษณาภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หรือ AP AdFest ครั้งที่ 8 ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสิ่งบอกได้อย่างดีถึงความสำเร็จของฝีมือคนไทย โดยเฉพาะงานหนังโฆษณา ที่กว่า 80% ของรางวัลเป็นผลงานของคนไทย นอกจากนั้นจำนวนคน และชิ้นงานส่งเข้าประกวดที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% ซึ่งเป็นอัตราที่เติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยมีผลงานมากกว่า 4,027 ชิ้น จากกว่า 400 เอเจนซี่ใน 39 เมืองทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1,100 คน ทั้งหมดเป็นสิ่งการันตีได้ถึงความสำเร็จในการยอมรับในเวทีนี้จากนานาประเทศ
ผลงานที่ผ่านเวทีนี้ มีความเป็นไปได้สูง ที่จะได้รับรางวัล และการยอมรับจากเวทีระดับโลก อย่างที่เมืองคาน ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมงานไม่ได้มีเฉพาะแค่ประเทศในเอเชียเท่านั้น ยังมีประเทศในแถบยุโรป อเมริกา ให้ความสนใจเข้าชมงาน โดยต่างบอกว่าต้องการมาชมหนังโฆษณาของคนไทย
ความโดดเด่นของหนังโฆษณาของไทย คือการสื่อสารที่ออกมาในรูปตลกขบขัน ในรูปแบบเฉพาะที่ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นผลงานของคนไทย และข้อได้เปรียบของโฆษณาที่มีความตลกอยู่ในตัวคือสามารถสร้าง และเชื่อมต่อระหว่างตัวโฆษณาและตัวคนดูได้อย่างลงตัว เกิดการจดจำตราสินค้า ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เนื่องจากใช้เวลาที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่รวดเร็ว ผิดกับหนังโฆษณาที่ใช้อารมณ์หนักๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องสร้างเป็นเรื่องราว ใช้งบประมาณการผลิตสูง ระยะเวลาในการออกอากาศต่อตอนก็นานกว่า และจากการที่หนังโฆษณาของไทยมีพัฒนาการมาถึงทุกวันนี้ทำให้โฆษณาของไทยพัฒนามาถึงจุดที่มีสไตล์เป็นของตัวเองที่ชัดเจน
นายสุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์ ประธานกรรมการบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บีบีดีโอ กรุงเทพ เปิดเผยว่า หนังโฆษณาของคนไทยมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยมาจากการเปิดกว้างทางความคิด ซึ่งผิดกับบางประเทศที่ติดข้อจำกัด ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นคือเจ้าแห่งผู้ผลิตหนังโฆษณา แต่ก็ต้องมาเสียแชมป์ให้ไทยเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนังโฆษณาของไทย นำเสนอไอเดียที่สด ใหม่ และแปลก ที่ออกมาในแนวตลกขบขัน
ทั้งนี้โฆษณาแนวตลกที่จะอยู่ได้ต่อไป ยังต้องเป็นตลกแบบมีคุณภาพ หนังตลกที่ดีต้องมีรายละเอียดให้คนดูได้ติดตาม ดังนั้นจะดูซ้ำกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ เช่น หนังโฆษณา ฟอร์ดเรนเจอร์ ชุด คิงคอง ที่ได้รางวัล GOLD จะเห็นได้ว่าผู้ผลิตได้ใส่รายละเอียดของลูกคิงคอง การขยับตา หู หรือปาก แสดงถึงความรู้สึกขณะนั้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่เด็กจะแสดงท่าทางออกมาในเวลาที่ต้องการดื้อรั้นที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
“หนังโฆษณาแนวตลก 1 เรื่องใช้เวลา 15- 30 วินาที ก็สามารถดึงความสนใจของคนดูได้เร็ว และคนดูชอบ ส่งผลถึงโปรดักส์ในทางที่ดี การที่จะใช้อารมณ์หนักๆในการสื่อสารเป็นเรื่องที่ท้าทายมากในเวลาที่จำกัด แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาประมาณ 60-90 วินาที ค่าใช้จ่ายก็สูงกว่า”
สำหรับสิ่งพิมพ์โฆษณา หรือพรินต์แอด ซึ่งสิงคโปร์ยังเป็นผู้นำอยู่ ซึ่งปัจจัยมาจาก คนสิงคโปร์จะมีเวลาดูโฆษณาทีวีน้อย งานพรินต์แอดจึงมีจำนวนมากกว่า ขณะที่ผลงานของประเทศไทยก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ของจำนวนรางวัลที่ได้รับในปีนี้
อย่างไรก็ตามโฆษณาที่ดี ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต้องสามารถสื่อสารให้คนดูเข้าใจได้ โดยไม่ต้องใช้ภาษาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เพราะปัญหาของประเทศในเอเชีย และเอเชียแปซิฟิก คือเรื่องของภาษาที่ยังสื่อสารกันได้ไม่ดีนัก จำนวนผู้รู้และใช้ภาษาอังกฤษได้ยังน้อยมาก ดังนั้นการสื่อด้วยภาพ หรือการกระทำ โดยนำไปสู่การรับรู้ตัวคุณสมบัติของตัวสินค้า และแบรนด์ได้ คือโจทย์สำคัญที่ครีเอทีฟ และโปรดักชั่นจะต้องจดจำไว้เสมอ
การเติบโตของอุตสาหกรรมโฆษณาไทย ที่มีอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 8-9% ทุกปี ส่งผลให้ขาดแคลนบุคลากร ซึ่งไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น จากการพูดคุย พบว่าทุกประเทศประสบปัญหา และที่แย่ไปกว่านั้น คือการซื้อตัวดึงครีเอทีฟฝีมือดี เข้ามาร่วมงาน นั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้นการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับนักโฆษณาโดยเฉพาะ ที่สอนโดยผู้ที่อยู่ในวิชาชีพนั้นจริง จากประสบการณ์จริง จะเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวได้ หากเป็นไปได้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมารองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม
ผลงานที่ผ่านเวทีนี้ มีความเป็นไปได้สูง ที่จะได้รับรางวัล และการยอมรับจากเวทีระดับโลก อย่างที่เมืองคาน ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมงานไม่ได้มีเฉพาะแค่ประเทศในเอเชียเท่านั้น ยังมีประเทศในแถบยุโรป อเมริกา ให้ความสนใจเข้าชมงาน โดยต่างบอกว่าต้องการมาชมหนังโฆษณาของคนไทย
ความโดดเด่นของหนังโฆษณาของไทย คือการสื่อสารที่ออกมาในรูปตลกขบขัน ในรูปแบบเฉพาะที่ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นผลงานของคนไทย และข้อได้เปรียบของโฆษณาที่มีความตลกอยู่ในตัวคือสามารถสร้าง และเชื่อมต่อระหว่างตัวโฆษณาและตัวคนดูได้อย่างลงตัว เกิดการจดจำตราสินค้า ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เนื่องจากใช้เวลาที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่รวดเร็ว ผิดกับหนังโฆษณาที่ใช้อารมณ์หนักๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องสร้างเป็นเรื่องราว ใช้งบประมาณการผลิตสูง ระยะเวลาในการออกอากาศต่อตอนก็นานกว่า และจากการที่หนังโฆษณาของไทยมีพัฒนาการมาถึงทุกวันนี้ทำให้โฆษณาของไทยพัฒนามาถึงจุดที่มีสไตล์เป็นของตัวเองที่ชัดเจน
นายสุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์ ประธานกรรมการบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บีบีดีโอ กรุงเทพ เปิดเผยว่า หนังโฆษณาของคนไทยมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยมาจากการเปิดกว้างทางความคิด ซึ่งผิดกับบางประเทศที่ติดข้อจำกัด ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นคือเจ้าแห่งผู้ผลิตหนังโฆษณา แต่ก็ต้องมาเสียแชมป์ให้ไทยเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนังโฆษณาของไทย นำเสนอไอเดียที่สด ใหม่ และแปลก ที่ออกมาในแนวตลกขบขัน
ทั้งนี้โฆษณาแนวตลกที่จะอยู่ได้ต่อไป ยังต้องเป็นตลกแบบมีคุณภาพ หนังตลกที่ดีต้องมีรายละเอียดให้คนดูได้ติดตาม ดังนั้นจะดูซ้ำกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ เช่น หนังโฆษณา ฟอร์ดเรนเจอร์ ชุด คิงคอง ที่ได้รางวัล GOLD จะเห็นได้ว่าผู้ผลิตได้ใส่รายละเอียดของลูกคิงคอง การขยับตา หู หรือปาก แสดงถึงความรู้สึกขณะนั้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่เด็กจะแสดงท่าทางออกมาในเวลาที่ต้องการดื้อรั้นที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
“หนังโฆษณาแนวตลก 1 เรื่องใช้เวลา 15- 30 วินาที ก็สามารถดึงความสนใจของคนดูได้เร็ว และคนดูชอบ ส่งผลถึงโปรดักส์ในทางที่ดี การที่จะใช้อารมณ์หนักๆในการสื่อสารเป็นเรื่องที่ท้าทายมากในเวลาที่จำกัด แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาประมาณ 60-90 วินาที ค่าใช้จ่ายก็สูงกว่า”
สำหรับสิ่งพิมพ์โฆษณา หรือพรินต์แอด ซึ่งสิงคโปร์ยังเป็นผู้นำอยู่ ซึ่งปัจจัยมาจาก คนสิงคโปร์จะมีเวลาดูโฆษณาทีวีน้อย งานพรินต์แอดจึงมีจำนวนมากกว่า ขณะที่ผลงานของประเทศไทยก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ของจำนวนรางวัลที่ได้รับในปีนี้
อย่างไรก็ตามโฆษณาที่ดี ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต้องสามารถสื่อสารให้คนดูเข้าใจได้ โดยไม่ต้องใช้ภาษาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เพราะปัญหาของประเทศในเอเชีย และเอเชียแปซิฟิก คือเรื่องของภาษาที่ยังสื่อสารกันได้ไม่ดีนัก จำนวนผู้รู้และใช้ภาษาอังกฤษได้ยังน้อยมาก ดังนั้นการสื่อด้วยภาพ หรือการกระทำ โดยนำไปสู่การรับรู้ตัวคุณสมบัติของตัวสินค้า และแบรนด์ได้ คือโจทย์สำคัญที่ครีเอทีฟ และโปรดักชั่นจะต้องจดจำไว้เสมอ
การเติบโตของอุตสาหกรรมโฆษณาไทย ที่มีอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 8-9% ทุกปี ส่งผลให้ขาดแคลนบุคลากร ซึ่งไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น จากการพูดคุย พบว่าทุกประเทศประสบปัญหา และที่แย่ไปกว่านั้น คือการซื้อตัวดึงครีเอทีฟฝีมือดี เข้ามาร่วมงาน นั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้นการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับนักโฆษณาโดยเฉพาะ ที่สอนโดยผู้ที่อยู่ในวิชาชีพนั้นจริง จากประสบการณ์จริง จะเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวได้ หากเป็นไปได้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมารองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม