เอเอฟพี/รอยเตอร์ - โยชิเอกิ ซึซึมิ มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของโลกเมื่อทศวรรษ 1980 ถูกทางการญี่ปุ่นจับกุมตัวแล้ววานนี้ จากโรงแรมแห่งหนึ่งในเครือปรินซ์ โฮเทล ในข้อหาจัดทำรายงานทางการเงินเท็จ
แถลงการณ์ของอัยการระบุว่า ซึซึมิ เจ้าของเซบุ อาณาจักรธุรกิจประกอบการรถไฟ วัย 70 ปี จะถูกสอบสวนในข้อกล่าวหาจัดทำรายงานทางการเงินอันเป็นเท็จ และการขายหุ้นของบริษัทอย่างผิดกฎหมายก่อนที่ข่าวอื้อฉาวดังกล่าวถูกเผยแพร่ในเดือนตุลาคม
ทั้งนี้บทลงโทษสำหรับการปลอมรายงานทางการเงินคือ จำคุกสูงสุด 5 ปี และปรับสูงสุด 5 ล้านเยน (47,730 ดอลลาร์) ขณะที่การซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลวงในจะถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด 3 ล้านเยน
ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน กิจการอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวซึซึมิเติบโตขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นเร่งบูรณะประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
โยชิเอกิ ซึซึมิ สืบทอดธุรกิจเซบุในปี 1965 ด้วยวัยเพียง 31 ปี หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต แม้เขาเป็นลูกคนที่ 3 จากภรรยานอกกฎหมาย ขณะที่ตามธรรมเนียมแล้วลูกชายคนโตมักจะสานต่อธุรกิจของครอบครัวก็ตาม
ซึซึมิขยายอาณาจักรกิจการออกไปอย่างกว้างขวาง โดยลงทุนพัฒนารีสอร์ตสำหรับเล่นสกี สนามกอล์ฟ และโรงแรม ตลอดจนเข้าซื้อทีมเบสบอล "เซบุ ไลออนส์"
ทั้งนี้เขาถูกจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ว่า เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกถึง 4 ปีจนถึงปี 1990 โดยมีทรัพย์สินราว 16,000 ล้านดอลลาร์ ทว่าภายในปี 2004 เขาหล่นไปอยู่อันดับที่ 159 ด้วยทรัพย์สินเพียง 3,000 ล้านดอลลาร์
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึซึมิลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการของหลายบริษัท ซึ่งรวมถึงเครือปรินซ์ โฮเทล, เซบุ คอนสตรักชัน, และ โคคุโด คอร์ป เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อข่าวอื้อฉาวเรื่องการปลอมรายงานดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่าเขายังคงกุมบังเหียนกิจการเหล่านี้อยู่เบื้องหลัง
ยิ่งไปกว่านั้น ซึซึมิยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชั้นสูงแดนปลาดิบ ยกตัวอย่างเช่น ปรินซ์ โฮเทล โรงแรมในเครือของซึซึมิ เป็นสถานที่พักผ่อนสำคัญของนายกรัฐมนตรีจุนอิชิโร โคอิซูมิ ทั้งนี้หนังสือพิมพ์ชูกัง บันชุนรายงานว่า โคอิซูมิใช้บริการที่ปรินซ์ โฮเทล 288 ครั้งนับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งในเดือนเมษายน 2001
ต่อข้อถามเกี่ยวกับการจับกุมครั้งนี้ระหว่างการซักถามของคณะกรรมาธิการรัฐสภา โคอิซูมิกล่าวว่า "ผมไม่ขอออกความเห็นในกรณีส่วนบุคคลนี้" แต่ยอมรับว่า "มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด" กับซึซึมิมานาน
อย่างไรก็ตาม ข่าวอื้อฉาวดังกล่าวส่งผลให้มีคนฆ่าตัวตาย 2 ราย ซึ่งรวมถึงเทรูมาสะ โคยานากิ อดีตกรรมการผู้จัดการเซบุ เรียลเวย์ วัย 64 ปี ซึ่งแขวนคอตายในบ้านของเขาเมื่อเดือนก่อน
ก่อนหน้านั้น เขายอมรับต่ออัยการว่า ผู้บริหารโคคุโดสั่งให้เขากล่าวเท็จเกี่ยวกับรายงานทางการเงินของบริษัท เขาระบุด้วยว่า เป็นคำสั่งโดยตรงจากซึซึมิ
อนึ่ง เมื่อเดือนมิถุนายน กลุ่มกิจการเซบุแจ้งต่อทางการว่า โคคุโดมีหุ้น 43.16% ในเซบุ เรียลเวย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีหุ้นถึง 64.83% ผลที่ตามมาก็คือ เซบุสามารถปกปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นหลัก 10 รายที่มีหุ้นกว่า 80% ทำให้จำนวนหุ้นสำหรับสาธารณชนต่ำกว่าที่กำหนดไว้ ส่งผลให้เซบุถูกถอนชื่อออกจากตลาดหุ้นโตเกียวในที่สุด
แถลงการณ์ของอัยการระบุว่า ซึซึมิ เจ้าของเซบุ อาณาจักรธุรกิจประกอบการรถไฟ วัย 70 ปี จะถูกสอบสวนในข้อกล่าวหาจัดทำรายงานทางการเงินอันเป็นเท็จ และการขายหุ้นของบริษัทอย่างผิดกฎหมายก่อนที่ข่าวอื้อฉาวดังกล่าวถูกเผยแพร่ในเดือนตุลาคม
ทั้งนี้บทลงโทษสำหรับการปลอมรายงานทางการเงินคือ จำคุกสูงสุด 5 ปี และปรับสูงสุด 5 ล้านเยน (47,730 ดอลลาร์) ขณะที่การซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลวงในจะถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด 3 ล้านเยน
ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน กิจการอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวซึซึมิเติบโตขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นเร่งบูรณะประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
โยชิเอกิ ซึซึมิ สืบทอดธุรกิจเซบุในปี 1965 ด้วยวัยเพียง 31 ปี หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต แม้เขาเป็นลูกคนที่ 3 จากภรรยานอกกฎหมาย ขณะที่ตามธรรมเนียมแล้วลูกชายคนโตมักจะสานต่อธุรกิจของครอบครัวก็ตาม
ซึซึมิขยายอาณาจักรกิจการออกไปอย่างกว้างขวาง โดยลงทุนพัฒนารีสอร์ตสำหรับเล่นสกี สนามกอล์ฟ และโรงแรม ตลอดจนเข้าซื้อทีมเบสบอล "เซบุ ไลออนส์"
ทั้งนี้เขาถูกจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ว่า เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกถึง 4 ปีจนถึงปี 1990 โดยมีทรัพย์สินราว 16,000 ล้านดอลลาร์ ทว่าภายในปี 2004 เขาหล่นไปอยู่อันดับที่ 159 ด้วยทรัพย์สินเพียง 3,000 ล้านดอลลาร์
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึซึมิลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการของหลายบริษัท ซึ่งรวมถึงเครือปรินซ์ โฮเทล, เซบุ คอนสตรักชัน, และ โคคุโด คอร์ป เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อข่าวอื้อฉาวเรื่องการปลอมรายงานดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่าเขายังคงกุมบังเหียนกิจการเหล่านี้อยู่เบื้องหลัง
ยิ่งไปกว่านั้น ซึซึมิยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชั้นสูงแดนปลาดิบ ยกตัวอย่างเช่น ปรินซ์ โฮเทล โรงแรมในเครือของซึซึมิ เป็นสถานที่พักผ่อนสำคัญของนายกรัฐมนตรีจุนอิชิโร โคอิซูมิ ทั้งนี้หนังสือพิมพ์ชูกัง บันชุนรายงานว่า โคอิซูมิใช้บริการที่ปรินซ์ โฮเทล 288 ครั้งนับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งในเดือนเมษายน 2001
ต่อข้อถามเกี่ยวกับการจับกุมครั้งนี้ระหว่างการซักถามของคณะกรรมาธิการรัฐสภา โคอิซูมิกล่าวว่า "ผมไม่ขอออกความเห็นในกรณีส่วนบุคคลนี้" แต่ยอมรับว่า "มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด" กับซึซึมิมานาน
อย่างไรก็ตาม ข่าวอื้อฉาวดังกล่าวส่งผลให้มีคนฆ่าตัวตาย 2 ราย ซึ่งรวมถึงเทรูมาสะ โคยานากิ อดีตกรรมการผู้จัดการเซบุ เรียลเวย์ วัย 64 ปี ซึ่งแขวนคอตายในบ้านของเขาเมื่อเดือนก่อน
ก่อนหน้านั้น เขายอมรับต่ออัยการว่า ผู้บริหารโคคุโดสั่งให้เขากล่าวเท็จเกี่ยวกับรายงานทางการเงินของบริษัท เขาระบุด้วยว่า เป็นคำสั่งโดยตรงจากซึซึมิ
อนึ่ง เมื่อเดือนมิถุนายน กลุ่มกิจการเซบุแจ้งต่อทางการว่า โคคุโดมีหุ้น 43.16% ในเซบุ เรียลเวย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีหุ้นถึง 64.83% ผลที่ตามมาก็คือ เซบุสามารถปกปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นหลัก 10 รายที่มีหุ้นกว่า 80% ทำให้จำนวนหุ้นสำหรับสาธารณชนต่ำกว่าที่กำหนดไว้ ส่งผลให้เซบุถูกถอนชื่อออกจากตลาดหุ้นโตเกียวในที่สุด


