เอไซคาดยอดขายสิ้นปีโต 20% เผยกลยุทธ์การทำตลาดปีนี้เน้นสินค้าหลักในกลุ่มยาอัลไซเมอร์และยาโรคกระเพาะ และเตรียมรุกช่องทางร้านขายยามากขึ้น คาดสัดส่วนยอดขายเพิ่ม 30% จากเดิม 25% พร้อมรุกตลาดศรีลังกาและเล็งเปิดตลาดเนปาล
นางประเทืองศรี ลิขิตศานต์ ผู้จัดการธุรกิจร้านขายยา บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยถึงแผนการตลาด2548 (เริ่มรอบบัญชีเมษายน 2548)ว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายปีนี้จะเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว โดยจะเน้นการทำตลาดไปที่สินค้าหลัก ได้แก่ ยาอัลไซเมอร์ ที่ขายเฉพาะช่องทางโรงพยาบาล ส่วนยาโรคกระเพาะและยาโรคกระดูกพรุนขายในร้านขายยาทั่วไป รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ยาใหม่ๆอยู่เสมอปีละ1 ตัว โดยได้มีการจับมือกับพันธมิตรจากญี่ปุ่น บริษัท ซาโต ฟาร์มาซูติคัล จำกัด นำยาเข้ามาขายผ่านช่องทางร้านขายยามากขึ้น อาทิ ยาทาบรรเทาอาการปวดเมื่อย
“โปรดักส์ของเราจะเน้นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นหลัก แต่ปัจจุบันนี้เรามีการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มเด็ก โดยมีผลิตภัณฑ์แคลเซียมสำหรับเด็ก ซึ่งเพิ่งล้อนซ์ไปเมื่อกลางปีที่แล้วและประสบความสำเร็จ”
ปัจจุบันร้านขายยาในไทยมีการปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยขึ้น เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลง โดยขณะนี้คาดว่าจำนวนร้านขายยามีประมาณ 12,000-13,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งในแต่ละปีจะมีจำนวนร้านขายยาที่เปิดเพิ่มขึ้นกว่า100-200 แห่ง ในขณะที่ร้านที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯมีประมาณ 3-4,000 ราย
ด้านตลาดต่างประเทศ บริษัทฯจะดูแลและทำตลาดในภูมิภาคอินโดจีน เช่น พม่า เวียดนาม และกัมพูชา เป็นต้น ส่วนประเทศศรีลังกา บริษัทฯเพิ่งไปทำตลาด โดยขายผ่านดิสทิบิวเตอร์ มองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะยังไม่มีบริษัทรายใดเข้าไปทำ รวมถึงยังมีแผนบุกทำตลาดที่ประเทศเนปาลเร็วๆนี้อีกด้วย นอกจากนี้บริษัทฯยังมีส่งผลิตภัณฑ์ออกไปยังประเทศมาเลเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์
ส่วนกิจกรรมทางการตลาดในปีนี้ บริษัทฯจะเน้นไปที่การให้ความรู้และข้อมูลแก่ผู้บริโภค เภสัชกร และเจ้าของร้านยามากขึ้น ผ่านทางสื่อโฆษณาและกิจกรรมต่างๆ โดยใช้งบประมาณปีนี้ 1 ล้านบาท
ผลประกอบการปี 2547 บริษัทฯมียอดขายประมาณ 400 ล้านบาทหรือมีอัตราการเติบโตกว่า 10% ทุกปี โดยแบ่งเป็น รายได้หลักมาจากโรงพยาบาล 75% ร้านขายยา 25% และที่เหลือเป็นรายได้จากการส่งออกกลุ่มแถบอินโดจีน 20% ซึ่งกลุ่มยาที่ขายดีสุด เป็นกลุ่มระบบประสาทส่วนปลาย คิดเป็น 20% ส่วนปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ 500 ล้านบาท โดยจะเน้นไปที่ช่องทางร้านขายยาในสัดส่วน 30% หรือประมาณ 60 ล้านบาท
ปัจจุบันมูลค่าธุรกิจร้านขายยาคาดว่ามีปริมาณ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยานำเข้าจากต่างประเทศ 60% และยาที่เลียนแบบ หรือทำในประเทศ 40%
สำหรับกรณีที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นนั้น นางประเทืองศรี กล่าวว่า บริษัทฯได้รับผลกระทบน้อย เพราะราคาต่อยูนิตของบริษัทเอไซสูง แต่ยาที่มีราคาถูกอาจได้รับผลกระทบ และบริษัทเป็นเพียงผู้นำเข้ายาจากญี่ปุ่น โดยมีบริษัทดีทแฮล์มเป็นดิสทิบิวเตอร์ให้ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบในเรื่องการขนส่ง ส่วนเรื่องการปรับขึ้นราคายานั้นคงเป็นไปได้ยากเพราะยาเป็นสินค้าที่รัฐบาลต้องมีการควบคุมเรื่องราคาเอาไว้
นางประเทืองศรี ลิขิตศานต์ ผู้จัดการธุรกิจร้านขายยา บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยถึงแผนการตลาด2548 (เริ่มรอบบัญชีเมษายน 2548)ว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายปีนี้จะเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว โดยจะเน้นการทำตลาดไปที่สินค้าหลัก ได้แก่ ยาอัลไซเมอร์ ที่ขายเฉพาะช่องทางโรงพยาบาล ส่วนยาโรคกระเพาะและยาโรคกระดูกพรุนขายในร้านขายยาทั่วไป รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ยาใหม่ๆอยู่เสมอปีละ1 ตัว โดยได้มีการจับมือกับพันธมิตรจากญี่ปุ่น บริษัท ซาโต ฟาร์มาซูติคัล จำกัด นำยาเข้ามาขายผ่านช่องทางร้านขายยามากขึ้น อาทิ ยาทาบรรเทาอาการปวดเมื่อย
“โปรดักส์ของเราจะเน้นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นหลัก แต่ปัจจุบันนี้เรามีการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มเด็ก โดยมีผลิตภัณฑ์แคลเซียมสำหรับเด็ก ซึ่งเพิ่งล้อนซ์ไปเมื่อกลางปีที่แล้วและประสบความสำเร็จ”
ปัจจุบันร้านขายยาในไทยมีการปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยขึ้น เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลง โดยขณะนี้คาดว่าจำนวนร้านขายยามีประมาณ 12,000-13,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งในแต่ละปีจะมีจำนวนร้านขายยาที่เปิดเพิ่มขึ้นกว่า100-200 แห่ง ในขณะที่ร้านที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯมีประมาณ 3-4,000 ราย
ด้านตลาดต่างประเทศ บริษัทฯจะดูแลและทำตลาดในภูมิภาคอินโดจีน เช่น พม่า เวียดนาม และกัมพูชา เป็นต้น ส่วนประเทศศรีลังกา บริษัทฯเพิ่งไปทำตลาด โดยขายผ่านดิสทิบิวเตอร์ มองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะยังไม่มีบริษัทรายใดเข้าไปทำ รวมถึงยังมีแผนบุกทำตลาดที่ประเทศเนปาลเร็วๆนี้อีกด้วย นอกจากนี้บริษัทฯยังมีส่งผลิตภัณฑ์ออกไปยังประเทศมาเลเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์
ส่วนกิจกรรมทางการตลาดในปีนี้ บริษัทฯจะเน้นไปที่การให้ความรู้และข้อมูลแก่ผู้บริโภค เภสัชกร และเจ้าของร้านยามากขึ้น ผ่านทางสื่อโฆษณาและกิจกรรมต่างๆ โดยใช้งบประมาณปีนี้ 1 ล้านบาท
ผลประกอบการปี 2547 บริษัทฯมียอดขายประมาณ 400 ล้านบาทหรือมีอัตราการเติบโตกว่า 10% ทุกปี โดยแบ่งเป็น รายได้หลักมาจากโรงพยาบาล 75% ร้านขายยา 25% และที่เหลือเป็นรายได้จากการส่งออกกลุ่มแถบอินโดจีน 20% ซึ่งกลุ่มยาที่ขายดีสุด เป็นกลุ่มระบบประสาทส่วนปลาย คิดเป็น 20% ส่วนปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ 500 ล้านบาท โดยจะเน้นไปที่ช่องทางร้านขายยาในสัดส่วน 30% หรือประมาณ 60 ล้านบาท
ปัจจุบันมูลค่าธุรกิจร้านขายยาคาดว่ามีปริมาณ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยานำเข้าจากต่างประเทศ 60% และยาที่เลียนแบบ หรือทำในประเทศ 40%
สำหรับกรณีที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นนั้น นางประเทืองศรี กล่าวว่า บริษัทฯได้รับผลกระทบน้อย เพราะราคาต่อยูนิตของบริษัทเอไซสูง แต่ยาที่มีราคาถูกอาจได้รับผลกระทบ และบริษัทเป็นเพียงผู้นำเข้ายาจากญี่ปุ่น โดยมีบริษัทดีทแฮล์มเป็นดิสทิบิวเตอร์ให้ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบในเรื่องการขนส่ง ส่วนเรื่องการปรับขึ้นราคายานั้นคงเป็นไปได้ยากเพราะยาเป็นสินค้าที่รัฐบาลต้องมีการควบคุมเรื่องราคาเอาไว้