อีวีเอส ปรับโครงสร้างบริหาร-การจัดการครั้งใหญ่ วางหมาก 3 ปีโค่นแมงป่องขึ้นแท่นเบอร์สองตลาดหนังวีซีดีและดีวีดี โกยรายได้1,000 ล้านบาท ลงทุนครั้งใหญ่รอบ 25 ปี ทุ่มงบ 160 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักร 7 ชุด เตรียมขยายตลาดรอบทิศ ตบเท้าผลิต “ดีวีดี5” หั่นราคาขายเท่าวีซีดี หวังดันตลาดดีวีดีโตพรวด สกัดของละเมิดลิขสิทธิ์ เสริมหน่วยรบขยายช่องจำหน่าย ร้านสะดวกซื้อ-โมเดิร์นเทรด ยันเทรดดิชันนัลเทรด สิ้นปีกวาด 750 ล้านบาท
ดร.เสกสรร สุนันท์กิ่งเพชร ประธานกรรมการ บริษัท อีวีเอส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ผู้ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี เปิดเผยว่า ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในบริษัทครั้งใหญ่ หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 25 ปีแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนการบริหาร กระจายอำนาจการตัดสินใจไปยังกลุ่มงานต่างๆ จากเดิมที่มี 12 ฝ่ายให้เหลือเพียง 4 กลุ่มงาน เพื่อลดการซ้ำซ้อนของงาน นอกจากนี้การทำตลาดในปีนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับตราสินค้ามากขึ้น
“การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ บริษัทต้องการเปลี่ยนภาพจากลักษณะธุรกิจครอบครัวสู่ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นแผนในระยะเวลา 3 ปี โดยในปี 2550 บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท ขณะที่ปี2548 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 35 ล้านบาท จากเดิมบริษัทมีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วย”
ขณะที่แผนการทำตลาดในปีนี้ บริษัทมีนโยบายเชิงรุกในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยใช้งบลงทุน160 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักร 7 ชุด เพื่อเพิ่มกำลังผลิตวีซีดีจากเดิม 2.5 ล้านแผ่นต่อเดือนเป็น 6 ล้านแผ่นต่อเดือน และเป็นการผลิตดีวีดี 2.5 แสนแผ่นต่อเดือน นอกจากนี้ยังหันมาเป็นผู้รับจ้างผลิตแผ่นหนังให้กับสหมงคลหรือภายใต้บริษัทแฮปปี้ เอนเตอร์เทนเม้นท์ ราวเดือนละ 1.5 แสนแผ่นต่อเดือน โดยเครื่องจักรใหม่จะเดินเครื่องได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทได้ขยายพื้นที่โรงงานจาก1,000 ตร.ม.เป็น2,500 ตร.ม.
“สาเหตุที่ในปีบริษัทต้องเปลี่ยนเป็นผู้รับจ้างผลิต เพราะบริษัทสหมงคลเรียกสิทธิ์ในการเช่าศูนย์คืน และให้สิทธิ์แต่การซื้อลิขสิทธิ์เท่านั้น อย่างไรก็ตามการสูญเสียธุรกิจเช่าศูนย์ไม่ได้มีส่วนทำให้รายได้ของบริษัทลดลง เพราะเราเปลี่ยนมาเป็นผู้รับจ้างผลิตให้กับบริษัทแฮปปี้ฯแทนซึ่งก็เป็นบริษัทของสหมงคลเอง โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการรับจ้างผลิต 100 ล้านบาทต่อปี”
สำหรับแนวโน้มตลาดวีซีดีและดีวีดีมูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ 40% ของตลาดรวมทั้งหมด คาดว่าในปีนี้ตลาดจะมีอัตราการเติบโต10% หรือมีมูลค่า5,500 ล้านบาท และในอนาคตทิศทางตลาดดีวีดีจะมีสัดส่วนที่มากกว่าตลาดวีซีดี จากตัวเลขในปี2544 ระหว่างตลาดวีซีดีกับดีวีดีเป็น 80:20 และปี2546 เป็น 60:40และล่าสุดปี2547เป็น50:50
อย่างไรก็ตาม ตลาดดีวีดีที่ผ่านมายังมีอัตราการเติบโตที่ช้าอยู่ เนื่องจากขณะนี้ประสิทธิภาพของเครื่องเล่นวีซีดีเทียบเท่ากับดีวีดี ดังนั้นเพื่อกระตุ้นตลาดให้เติบโตมากขึ้น บริษัทจึงได้ผลิตดีวีดี 5 หรือดีวีดีที่มีคุณภาพน้อยออกสู่ตลาดเมื่อ3เดือนที่ผ่านมานี้ จำหน่ายในราคาที่ใกล้เคียงกับวีซีดี
“แต่ละเดือนบริษัทจะใช้งบในการซื้อลิขสิทธิ์หนังจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ 20-25 ล้านบาท โดยรายได้ในแต่ละเดือนจะต้องเข้ามาเป็น 3 เท่าของบที่ลงทุนหรือ 60 ล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมานี้ภาพยนตร์ที่สร้างรายได้มากที่สุดคือ วิ่งสู้ฟัด3 แสนแผ่น และคาดว่าครบ 5ปี จะทำรายได้ถึง 1.2 ล้านบาท ส่วนงบโฆษณาประชาสัมพันธ์บริษัทวางไว้ที่36-60 ล้านบาทต่อปี”
นายนฤทธิ์ ใหญ่โสมานัง กรรมการผู้จัดการ รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มงานรายได้และการตลาด กล่าวเสริมว่า ในปีนี้บริษัทยังได้ขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ ผ่านโมเดิร์นเทรด บิ๊กซี แม็คโคร ฯลฯ และล่าสุดเตรียมเซ็นสัญญากับคาร์ฟูร์ นอกจากนี้บริษัทยังได้ขยายช่องทางผ่านร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น รวมทั้งการขยายสู่เทรดดิชันนัลเทรดจากเดิมมี 800 ราย เพิ่มเป็น 1,000 รายในสิ้นปีนี้
“ปีนี้นโยบายการทำตลาด ได้กำหนดราคาสินค้าในตลาดล่างลดลง ให้เหลือเฉลี่ย 10-15 บาทต่อชิ้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าในราคาที่เหมาะสม และเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาไม่แตกต่างกัน”
สำหรับเป้าหมายของการปรับโครงสร้างในช่วง 3 ปี ตั้งเป้ามีรายได้ 1,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย15%ต่อปี และจะขึ้นมาเป็นอันดับสองแทนที่บริษัท แมงป่อง มหาชน จำกัด ซึ่งในปี 2547 มีรายได้ 740 ล้านบาท ขณะที่ผู้นำตลาดเป็นซีวีดี อินเตอร์เนชั่นแนล มีรายได้ 1,200 ล้านบาท ส่วนรายได้ในสิ้นปี2548 บริษัทตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโต 20% หรือ 750 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีรายได้ 570 ล้านบาท
ดร.เสกสรร สุนันท์กิ่งเพชร ประธานกรรมการ บริษัท อีวีเอส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ผู้ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี เปิดเผยว่า ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในบริษัทครั้งใหญ่ หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 25 ปีแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนการบริหาร กระจายอำนาจการตัดสินใจไปยังกลุ่มงานต่างๆ จากเดิมที่มี 12 ฝ่ายให้เหลือเพียง 4 กลุ่มงาน เพื่อลดการซ้ำซ้อนของงาน นอกจากนี้การทำตลาดในปีนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับตราสินค้ามากขึ้น
“การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ บริษัทต้องการเปลี่ยนภาพจากลักษณะธุรกิจครอบครัวสู่ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นแผนในระยะเวลา 3 ปี โดยในปี 2550 บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท ขณะที่ปี2548 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 35 ล้านบาท จากเดิมบริษัทมีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วย”
ขณะที่แผนการทำตลาดในปีนี้ บริษัทมีนโยบายเชิงรุกในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยใช้งบลงทุน160 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักร 7 ชุด เพื่อเพิ่มกำลังผลิตวีซีดีจากเดิม 2.5 ล้านแผ่นต่อเดือนเป็น 6 ล้านแผ่นต่อเดือน และเป็นการผลิตดีวีดี 2.5 แสนแผ่นต่อเดือน นอกจากนี้ยังหันมาเป็นผู้รับจ้างผลิตแผ่นหนังให้กับสหมงคลหรือภายใต้บริษัทแฮปปี้ เอนเตอร์เทนเม้นท์ ราวเดือนละ 1.5 แสนแผ่นต่อเดือน โดยเครื่องจักรใหม่จะเดินเครื่องได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทได้ขยายพื้นที่โรงงานจาก1,000 ตร.ม.เป็น2,500 ตร.ม.
“สาเหตุที่ในปีบริษัทต้องเปลี่ยนเป็นผู้รับจ้างผลิต เพราะบริษัทสหมงคลเรียกสิทธิ์ในการเช่าศูนย์คืน และให้สิทธิ์แต่การซื้อลิขสิทธิ์เท่านั้น อย่างไรก็ตามการสูญเสียธุรกิจเช่าศูนย์ไม่ได้มีส่วนทำให้รายได้ของบริษัทลดลง เพราะเราเปลี่ยนมาเป็นผู้รับจ้างผลิตให้กับบริษัทแฮปปี้ฯแทนซึ่งก็เป็นบริษัทของสหมงคลเอง โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการรับจ้างผลิต 100 ล้านบาทต่อปี”
สำหรับแนวโน้มตลาดวีซีดีและดีวีดีมูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ 40% ของตลาดรวมทั้งหมด คาดว่าในปีนี้ตลาดจะมีอัตราการเติบโต10% หรือมีมูลค่า5,500 ล้านบาท และในอนาคตทิศทางตลาดดีวีดีจะมีสัดส่วนที่มากกว่าตลาดวีซีดี จากตัวเลขในปี2544 ระหว่างตลาดวีซีดีกับดีวีดีเป็น 80:20 และปี2546 เป็น 60:40และล่าสุดปี2547เป็น50:50
อย่างไรก็ตาม ตลาดดีวีดีที่ผ่านมายังมีอัตราการเติบโตที่ช้าอยู่ เนื่องจากขณะนี้ประสิทธิภาพของเครื่องเล่นวีซีดีเทียบเท่ากับดีวีดี ดังนั้นเพื่อกระตุ้นตลาดให้เติบโตมากขึ้น บริษัทจึงได้ผลิตดีวีดี 5 หรือดีวีดีที่มีคุณภาพน้อยออกสู่ตลาดเมื่อ3เดือนที่ผ่านมานี้ จำหน่ายในราคาที่ใกล้เคียงกับวีซีดี
“แต่ละเดือนบริษัทจะใช้งบในการซื้อลิขสิทธิ์หนังจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ 20-25 ล้านบาท โดยรายได้ในแต่ละเดือนจะต้องเข้ามาเป็น 3 เท่าของบที่ลงทุนหรือ 60 ล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมานี้ภาพยนตร์ที่สร้างรายได้มากที่สุดคือ วิ่งสู้ฟัด3 แสนแผ่น และคาดว่าครบ 5ปี จะทำรายได้ถึง 1.2 ล้านบาท ส่วนงบโฆษณาประชาสัมพันธ์บริษัทวางไว้ที่36-60 ล้านบาทต่อปี”
นายนฤทธิ์ ใหญ่โสมานัง กรรมการผู้จัดการ รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มงานรายได้และการตลาด กล่าวเสริมว่า ในปีนี้บริษัทยังได้ขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ ผ่านโมเดิร์นเทรด บิ๊กซี แม็คโคร ฯลฯ และล่าสุดเตรียมเซ็นสัญญากับคาร์ฟูร์ นอกจากนี้บริษัทยังได้ขยายช่องทางผ่านร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น รวมทั้งการขยายสู่เทรดดิชันนัลเทรดจากเดิมมี 800 ราย เพิ่มเป็น 1,000 รายในสิ้นปีนี้
“ปีนี้นโยบายการทำตลาด ได้กำหนดราคาสินค้าในตลาดล่างลดลง ให้เหลือเฉลี่ย 10-15 บาทต่อชิ้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าในราคาที่เหมาะสม และเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาไม่แตกต่างกัน”
สำหรับเป้าหมายของการปรับโครงสร้างในช่วง 3 ปี ตั้งเป้ามีรายได้ 1,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย15%ต่อปี และจะขึ้นมาเป็นอันดับสองแทนที่บริษัท แมงป่อง มหาชน จำกัด ซึ่งในปี 2547 มีรายได้ 740 ล้านบาท ขณะที่ผู้นำตลาดเป็นซีวีดี อินเตอร์เนชั่นแนล มีรายได้ 1,200 ล้านบาท ส่วนรายได้ในสิ้นปี2548 บริษัทตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโต 20% หรือ 750 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีรายได้ 570 ล้านบาท