นายดนัย ดีโรจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ปีหน้าตลาดรวมของธุรกิจขายตรงคาดว่าจะโตไม่เกิน 15% โดยมีปัจจัยหลักมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 4ปีนี้จนถึงปีหน้า รวมถึงสภาพต้นทุนที่ตอนแรกคาดการณ์ว่าจะปรับตัวสูงขึ้น แต่อาจจะไม่มากเหมือนที่คาดไว้ จึงทำให้ราคาสินค้าไม่ขยับสูงเหมือนที่คิดไว้
ส่วนปัจจัยลบที่ส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจขายตรงในปี 2548นั้น นายดนัย กล่าวว่า ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจในปีหน้า แต่ปัจจัยที่จะมีผล เช่น ราคาน้ำมันถ้าปี 2548 ปรับขึ้นอาจส่งผลต่อธุรกิจ, ไข้หวัดนก และภาคใต้ เป็นต้น
ในส่วนของมิสทีนปีหน้าบริษัทฯคาดว่ายอดขายจะโตขึ้น12-13% จากปัจจัยหลักที่บริษัทฯจะเน้นขยายตลาดไปสู่ไลน์ใหม่ๆ อาทิ ตลาดสลิมมิ่งหรือตลาดลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วน โดยบริษัทฯได้ทุ่มงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท คาดว่าช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เบื้องต้นจะออกสินค้าประมาณ 7 รายการ ทั้งนี้การที่มิสทีนมารุกตลาดนี้ เนื่องจากมองว่าตลาดดังกล่าวยังมีช่องว่างอยู่ตรงที่ศูนย์สลิมมิ่งมักจะมีการบริการควบคู่กับการใช้สินค้าและส่วนใหญ่มักจะเจาะตลาดคนในเมือง ในขณะที่สินค้าของมิสทีนมีราคา 79-129 บาท เหมาะสำหรับตลาดแมสและตลาดรากหญ้า ปัจจุบันมูลค่าตลาดสลิมมิ่งมีมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท ปีแรกมิสทีนขอแชร์10% หรือประมาณ 3-400 ล้านบาท
อีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยอดขายมิสทีนโตในปีหน้ามาจากการที่มิสทีนตั้งราคาสินค้าอยู่ในขั้นประหยัด ในราคาเฉลี่ยประมาณ 69-99 บาท ซึ่งถือว่าถูกหากจะเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งปีหน้าหากเศรษฐกิจเป็นไปตามจีดีพีที่คาดการณ์ไว้ คือ ประมาณ 5 ก็จะทำให้มิสทีนมีอัตราการเติบโตในตลาดขายตรงชั้นเดียว เพราะลูกค้าจะมองและซื้อสินค้าที่มีราคาประหยัดมากขึ้น
นอกจากนี้ในปี 2548 บริษัทฯมีโครงการหรือแคมเปญร่วมกับองค์กรใหญ่ๆ มากขึ้น รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไม่ต่ำกว่า 300 รายการ ทั้งในกลุ่มเมกอัพ เพอร์ซันนอลแคร์ และสกินแคร์ ซึ่งปีหน้าจะมีการทำตลาดมากขึ้นในกลุ่มนี้ เนื่องจากยังเป็นรองคู่แข่งมาก
ส่วนความคืบหน้าเรื่องที่บริษัทฯมีแผนให้สาวมิสทินจำหน่ายหวยบนดิน เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่สาวมิสทินอีกทางหนึ่งและเพื่อขยายไลน์สินค้าของมิสทินให้มีความหลากหลายครอบคลุมมากขึ้นนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นศึกษาอยู่ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากต้องผ่านขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากและผ่านหลายหน่วยงาน คาดว่าในช่วงปีนี้คงยังไม่ได้เห็น
ปัจจุบันธุรกิจขายตรงหลายชั้นและชั้นเดียวมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 40,000 ล้านบาท มิสทีนเป็นผู้นำตลาดขายตรงชั้นเดียวด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 65% และในปีหน้าคาดว่าแชร์จะเพิ่มเป็น 70% โดยมีคู่แข่งในตลาด เช่น เอวอนและยูสตาร์ เป็นต้น
ส่วนปัจจัยลบที่ส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจขายตรงในปี 2548นั้น นายดนัย กล่าวว่า ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจในปีหน้า แต่ปัจจัยที่จะมีผล เช่น ราคาน้ำมันถ้าปี 2548 ปรับขึ้นอาจส่งผลต่อธุรกิจ, ไข้หวัดนก และภาคใต้ เป็นต้น
ในส่วนของมิสทีนปีหน้าบริษัทฯคาดว่ายอดขายจะโตขึ้น12-13% จากปัจจัยหลักที่บริษัทฯจะเน้นขยายตลาดไปสู่ไลน์ใหม่ๆ อาทิ ตลาดสลิมมิ่งหรือตลาดลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วน โดยบริษัทฯได้ทุ่มงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท คาดว่าช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เบื้องต้นจะออกสินค้าประมาณ 7 รายการ ทั้งนี้การที่มิสทีนมารุกตลาดนี้ เนื่องจากมองว่าตลาดดังกล่าวยังมีช่องว่างอยู่ตรงที่ศูนย์สลิมมิ่งมักจะมีการบริการควบคู่กับการใช้สินค้าและส่วนใหญ่มักจะเจาะตลาดคนในเมือง ในขณะที่สินค้าของมิสทีนมีราคา 79-129 บาท เหมาะสำหรับตลาดแมสและตลาดรากหญ้า ปัจจุบันมูลค่าตลาดสลิมมิ่งมีมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท ปีแรกมิสทีนขอแชร์10% หรือประมาณ 3-400 ล้านบาท
อีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยอดขายมิสทีนโตในปีหน้ามาจากการที่มิสทีนตั้งราคาสินค้าอยู่ในขั้นประหยัด ในราคาเฉลี่ยประมาณ 69-99 บาท ซึ่งถือว่าถูกหากจะเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งปีหน้าหากเศรษฐกิจเป็นไปตามจีดีพีที่คาดการณ์ไว้ คือ ประมาณ 5 ก็จะทำให้มิสทีนมีอัตราการเติบโตในตลาดขายตรงชั้นเดียว เพราะลูกค้าจะมองและซื้อสินค้าที่มีราคาประหยัดมากขึ้น
นอกจากนี้ในปี 2548 บริษัทฯมีโครงการหรือแคมเปญร่วมกับองค์กรใหญ่ๆ มากขึ้น รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไม่ต่ำกว่า 300 รายการ ทั้งในกลุ่มเมกอัพ เพอร์ซันนอลแคร์ และสกินแคร์ ซึ่งปีหน้าจะมีการทำตลาดมากขึ้นในกลุ่มนี้ เนื่องจากยังเป็นรองคู่แข่งมาก
ส่วนความคืบหน้าเรื่องที่บริษัทฯมีแผนให้สาวมิสทินจำหน่ายหวยบนดิน เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่สาวมิสทินอีกทางหนึ่งและเพื่อขยายไลน์สินค้าของมิสทินให้มีความหลากหลายครอบคลุมมากขึ้นนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นศึกษาอยู่ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากต้องผ่านขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากและผ่านหลายหน่วยงาน คาดว่าในช่วงปีนี้คงยังไม่ได้เห็น
ปัจจุบันธุรกิจขายตรงหลายชั้นและชั้นเดียวมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 40,000 ล้านบาท มิสทีนเป็นผู้นำตลาดขายตรงชั้นเดียวด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 65% และในปีหน้าคาดว่าแชร์จะเพิ่มเป็น 70% โดยมีคู่แข่งในตลาด เช่น เอวอนและยูสตาร์ เป็นต้น